วันพุธที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2558

Slow life

Slow life คือ การใช้ชีวิตแบบค่อยเป็นค่อยไปอย่างมีสาระ ชะลอตัวเองให้ไม่ไหลอย่างไร้ทิศทางไปตามกระแสสังคม ทำทุกอย่างด้วยสปีดที่ช้าลง เพื่อให้มีสติและซึมซาบความหมายของชีวิตได้มากขึ้น ทั้งหมดนี้มี Carl Honoré บุคคลที่ Huffington Post ขนานนามว่าเป็นตัวพ่อแห่งการใช้ชีวิตแบบช้า ๆ ได้ให้นิยามของชีวิต Slow life เอาไว้
  ซึ่ง Carl Honoré ก็ยังออกตัวไว้ว่า การใช้ชีวิตแบบ Slow life ไม่ได้หมายความว่าเราใช้ชีวิตอย่างช้า ๆ แล้วจะกลายเป็นคนล้าหลังหรือดูว่าเป็นคนทึ่มไม่น่าจะทันกิน เพราะใครกันล่ะที่บอกว่า หากเราใช้ชีวิตแข่งกับเวลา ต้องแซงหน้าทุก ๆ คน แล้วชีวิตจะดีกว่า ทั้งที่จริงแล้วชีวิตที่เร่งรีบอย่างที่เคยทำมาตลอดส่งผลในด้าน­­ลบกับเราหลายอย่าง เช่น ระบบการทำงานของร่างกายถูกบังคับให้ทำงานหนักกว่าเดิม หรือยิ่งรีบยิ่งพลาดอะไรดี ๆ ในชีวิตไปไม่น้อย ดังนั้นหากเราใช้ชีวิตในทุก ๆ ย่างก้าวอย่างละเมียดละไมที่สุด ชีวิตก็น่าจะได้อะไรที่มากกว่า

         ทว่าการใช้ชีวิตแบบ Slow life ก็ไม่ได้บอกให้ช้ากับทุกสิ่ง แต่เป็นการสร้างสมดุลแห่งช่วงเวลาในชีวิตอย่างเหมาะสม อาจมีบ้างที่ชีวิตต้องการความเร่งด่วน แต่ถึงอย่างไรความเร่งด่วนคงไม่ได้จำเป็นกับชีวิตเสมอไปหรอกใช่­­ไหม ฉะนั้นสิ่งไหนควรรีบให้รีบ สิ่งไหนช้าได้ก็อย่าเร่งตัวเองเท่านั้นพอ
          และนอกจากนิยามชีวิตแบบ Slow life ของ Carl Honoré แล้ว Leo Babauta นักเขียนชื่อดังชาวอเมริกันเชื้อสายกวม พ่วงด้วยตำแหน่งผู้ก่อตั้งเว็บบล็อก Zen Habits ยังได้บอกเล่ากฎการใช้ชีวิตแบบ Slow life ไว้ในหนังสือที่ขายดิบขายดีเรื่อง The Power Of Less ว่า หากอยากใช้ชีวิต Slow life แบบถึงแก่นจริงๆ คุณต้องเดินรอยตาม 10 ข้อนี้
1. ทำให้น้อย
              เชื่อไหมว่าหลายคนมโนไปเองว่าทุกสิ่งในชีวิตสำคัญเทียบเท่ากันหมด จนบางครั้งถึงกับจัดลำดับไม่ถูกว่าควรทำอะไรก่อนดี แต่แทนที่จะปล่อยตัวเองให้หัวหมุนไปกับภารกิจร้อยแปดพันอย่าง ลองตั้งสติแล้วลำดับความสำคัญดูว่า สิ่งไหนควรต้องทำและจำเป็นต้องรีบจัดการให้เสร็จไปก่อน ที่เหลือก็ค่อย ๆ เรียบเรียงความสำคัญทีหลัง แล้วแบ่งเวลาให้ตัวเองได้หยุดหายใจบ้าง
 2. อยู่กับปัจจุบัน
    
          ไม่เพียงแต่ชะลอจังหวะชีวิตของตัวเองให้ช้าลง แต่คุณควรต้องมีสติกับสิ่งที่กำลังเป็นอยู่ให้มากที่สุด สิ่งที่เกิดไปแล้วปล่อยผ่าน สิ่งที่ยังไม่เกิดช่างมัน สนใจแค่นาทีที่กำลังเป็นไป สิ่งแวดล้อมที่กำลังนั่งหายใจอยู่ และคนที่มาร่วมหายใจอยู่ข้าง ๆ คุณเท่านั้นพอ
3. เบรกตัวเองจากโลกออนไลน์สักพัก
    
          เทคโนโลยีและโซเชียลในยุคนี้แทรกแซงเข้ามาในชีวิตเราแบบไม่ทันได้ตั้งตัว หลายคนเลยเผลอเปิดตัวเองให้พร้อมจะรับรู้ข่าวสารและติดต่อกับสังคมแทบจะตลอดเวลา เผลอทำชีวิตส่วนตัวหล่นหาย และแขวนความเป็นไปของเราไว้กับโลกออนไลน์ที่มีทั้งคนคุ้นเคยและแปลกหน้า ฉะนั้นลองชัตดาวน์ตัวเองมาอยู่ในมุมส่วนตัวสักพัก เปิดโอกาสให้ตัวเองมีเวลาเห็นและรับรู้สิ่งรอบตัวที่เคยมองข้ามไปบ้าง แค่นี้ก็ได้สัมผัสคำว่าชีวิตได้มากขึ้นอีกนิดแล้ว
 4. สนใจคนรอบข้างอย่างจริงจัง
    
          ทุกวันนี้เราเข้าสังคม เรานัดพบเพื่อนเก่า ๆ และมีเวลาให้ครอบครัวเป็นประจำ แต่ส่วนมากมักจะเป็นแนวพบเจอ พูดคุยแปบ ๆ แต่ไม่ได้สื่อสารกันอย่างจริง ๆ จัง ๆ เนื่องจากมีเทคโนโลยีและการสื่อสารผ่านโลกออนไลน์เข้ามาแย่งพื้นที่ จากที่ควรจะนั่งสบตาและพูดคุยกันอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย เราก็กลับทำเพียงฟังในสิ่งที่เขาพูด และคอยหาจังหวะพูดในสิ่งที่อยากพูดกลับไป เว้นช่องว่างของความเข้าอกเข้าใจกลวงโบ๋อย่างที่ไม่มีใครรู้ตัว ฉะนั้นเปลี่ยนมาใช้ชีวิตกับคนรอบข้างแบบที่ได้สบตาคู่สนทนามากกว่าจ้องหน้าจอกันเถอะ
 5. ซึมซับธรรมชาติให้มากขึ้น
    
          เพียงแค่เราใส่ใจธรรมชาติมากขึ้น เราก็สามารถสัมผัสธรรมชาติได้แทบทุกวินาที โดยที่ไม่จำเป็นต้องเก็บเสื้อผ้าแล้วออกเดินทางไปหาธรรมชาติจากที่ไกล ๆ ให้เหนื่อยเลย ไม่เชื่อลองเงยหน้าจากหนังสือ มือถือ แท็บเล็ต แล้วหันออกไปมองนอกหน้าต่าง เปิดโอกาสให้ตัวเองเดินย่ำเท้าบนพื้นหญ้า ให้สายลมพัดพาผมให้ปลิว ให้ผิวได้รับวิตามินดีจากแสงแดด ออกไปทำกิจกรรมกลางแจ้งแทนการนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ สัมผัสทุกสิ่งที่เรียกว่าธรรมชาติมากขึ้นอีกนิด แล้วคุณจะรู้สึกโชคดีกับการมีชีวิต
อยู่มากขึ้นทุกวัน
 6. กินให้ช้าลง
          เคี้ยวอาหารให้ช้าลง ละเมียดละไมความอร่อยจากอาหารที่เราตักเข้าปาก ใครไม่เคยใช้ชีวิต Slow life แบบนี้คงไม่รู้หรอกว่า แค่ปรับวิถีการกินอาหารให้ช้าลงก็มีความสุขมากขึ้นเยอะแล้ว อย่างน้อยระบบย่อยอาหารของเราก็ไม่ต้องเร่งจนเหนื่อย ภายในร่างกายสมดุลขึ้น ชีวิตก็สมบูรณ์แบบได้
 7. ขับรถให้ช้าลง
          ชีวิตที่เร่งรีบอาจทำให้คุณต้องเหยียบไมล์รถจนเคยชิน จนบางครั้งก็ไม่ต่างจากการพาตัวเองไปสุ่มเสี่ยงกับอุบัติเหตุและ ความประมาทเลยสักนิด ดังนั้นถ้าไม่ต้องรีบคงดีกว่า ขับรถให้ช้าลง มีน้ำใจบนท้องถนน และอาจตื่นให้เช้าขึ้นอีกหน่อย จะได้มีเวลาแวะในจุดที่อยากแวะแต่ไม่เคยได้ทำ เปิดประสบการณ์ชีวิตให้ตัวเองเพิ่มขึ้นอีกหลายอย่าง
8. โลกสวยด้วยมุมมอง
    
          โลกจะสวยหรือเสื่อมอยู่ที่เราเลือกมองแบบไหน และบางครั้งการมีมุมมองแย่ ๆ กับสิ่งรอบตัวก็เป็นเพราะเรารีบเร่งจนลืมพิจารณาสิ่งนั้น ๆ ให้ดีต่างหาก ไม่ใช่เพราะสิ่งรอบตัวเราแย่เลย สักนิด ถ้าอย่างนั้นลองง่าย ๆ แค่ทำอะไรให้ช้าลงอย่างมีสติ แล้วคุณจะเห็นด้านดี ๆ จากสิ่งรอบตัววันละนิดละหน่อย เปลี่ยนโลกหม่น ๆ ให้กลายเป็นโลกที่สวยสดใส
 9. ทำทีละอย่าง
    
          อย่าลืมว่าเรามีแค่ 1 สมอง กับ 2 มือเท่านั้น ดังนั้นอย่าบังคับตัวเองให้ทำอะไรพร้อมกันหลาย ๆ อย่าง เพราะนั่นอาจเป็นจุดเริ่มต้นของความวุ่นวายในชีวิตได้ จับของสิ่งเดียวด้วยสองมือยังไงก็ชัวร์กว่าแยกอีกมือไปจับของอื่น ๆ ในเวลาเดียวกันนะ
 10. หายใจเข้าลึก ๆ 
    
          เคยรู้สึกเหนื่อยจนต้องหอบเพราะความเร่งรีบกันมามากแล้ว เรามาใช้ชีวิตให้ช้าลงเพื่อให้ตัว เองสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ กันบ้างดีกว่า เชื่อสิว่าเพียงแค่อยู่นิ่ง ๆ แล้วสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ ยาว ๆ สติที่บินหายไปก็จะเริ่มกลับมา ความเครียด ความโกรธ และความเหน็ดเหนื่อยก็จะหายไป

ที่มาจาก http://health.kapook.com/view121714.html

วันศุกร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ชีวิตวัฒนา


                                                                                                     
ดร.บุญเสริม บุญเจริญผล
    เมื่อปี พ.. 2536 ผมได้มีโอกาสไปราชการที่ปักกิ่ง และเป็นการบังเอิญอย่างยิ่งที่ได้พบหนังสือเล่มหนึ่ง วางขายหลบมุมอยู่ในริมตู้ที่ร้านขายหนังสือของโรงแรมที่ผมพักนอน หนังสือเล่มนี้ดูแก่ชราและโทรมไม่น่าสนใจ  แต่ท่าทางที่มันวางตะแคงอยู่ดูเหมือนว่ามันทำท่ากวักมือเรียกให้ผมช่วยพามันออกไปให้พ้นจากร้านนี้เสียที  เพราะใคร ๆ ก็ไม่สนใจมัน  ผมจึงเอื้อมมือไปล้วงออกมาจากมุมตู้  และก็เป็นการบังเอิญอีกชั้นหนึ่ง คือมันเป็นภาษาอังกฤษ แทนที่จะเป็นภาษาจีนอย่างเล่มอื่น ๆ   หน้าปกเขียนว่า เดอะ มิสเทอรี ออฟ ลองกีวิที The Mistery of Longevity”  แปลเป็นภาษาไทยว่า ความลับแห่งการมีอายุยืน”  ราคาก็ถูกมาก คิดเป็นเงินไทยประมาณ 30 บาท ผมเปิดอ่านผ่าน ๆ เห็นว่ามีสาระดีมาก  โดยเฉพาะสำหรับผู้สูงอายุและผู้หวังจะมีสุขภาพดี  จึงรีบตัดสินใจซื้อทันทีโดยไม่ผลัดว่าไว้วันหลังค่อยซื้อ ด้วยเกรงว่ามันจะวิ่งตามใครไปเสียก่อน  และก็เหลืออยู่เล่มเดียวเสียด้วย  ถ้าพลาดงวดนี้ ชาตินี้คงไม่ได้พบกันอีกแล้ว
            หลังจากที่ผมได้อ่านอย่างพิจารณาเป็นเวลาหลายวัน  จึงเห็นคุณค่าของหนังสือเล่มนี้  อยากจะเผยแพร่ความลับแห่งการมีชีวิตวัฒนาให้คนไทยได้อ่านบ้าง  จึงขอเก็บความจากหนังสือเล่มนี้ผสมกับความคิดเห็นและประสพการณ์ส่วนตัวของผมเข้าไปบ้าง  พิมพ์ออกเผยแพร่เป็นวิทยาทานออกไปเรื่อย         ๆ  โดยเฉพาะเผยแพร่แก่ผู้สูงอายุทั้งหลาย  คนวัยนี้ถ้าหาวิธีชะลอความชราไว้บ้าง ก็น่าจะดีกว่าปล่อยให้สังขารมันรุดหน้าไปตามบุญตามกรรม  นึกว่าลดความทุกข์ให้แก่ชีวิตเราเองก็แล้วกัน

ชีวิตวัฒนาคืออะไร
     ชีวิตวัฒนาคือชีวิตที่ยาวนานและอยู่อย่างมีความสุข   ขอให้สังเกตว่าลักษณะของชีวิตวัฒนาต้องมีลักษณะ2ประการ คือ
     1. อายุยืน     2. มีความสุข แม้ว่าอายุมากแล้วก็มีความสุข และต้องสุขทั้งกายและใจ คือไม่ป่วย และไม่ทุกข์ใจ  มิใช่อายุยืน แต่อยู่อย่างทุกข์ทรมาน

          ถ้าเป็นได้อย่างนี้  อายุวัฒนา ก็เป็นเรื่องที่ทุกคนปรารถนา

วัยสูงอายุเป็นวัยทุกข์หรือวัยทอง
            โดยปกติคนวัยสูงอายุที่เกิน 50 ขวบ มักเป็นผู้มีความทุกข์  เพราะอวัยวะต่าง ๆ มันจะหมดอายุแล้ว ตับ ไต ไส้ พุง กระดูก เส้นเลือด เส้นเอน หัวใจ สมอง ก็เสื่อมความสามารถลงไปเรื่อย ๆ ฉะนั้นระบบอะไร ๆ ในร่างกายก็เริ่มทรยศ  ผลที่แสดงออกมาคือ นอนก็ไม่หลับสนิท กินก็ไม่อร่อย  ถ้าบังเอิญกินอร่อย ประเดี๋ยวก็เกิดเรื่องเจ็บป่วยตามมาจนได้  เพราะอวัยวะตามทางที่อาหารมันเดินไปมันไม่อร่อยด้วย  ซ้ำร้ายกว่านี้ นอกจากร่างกายทรุดโทรมยังไม่พอ จิตใจก็พลอยตกต่ำไปด้วย  โมโหง่าย ใจน้อย ขี้บ่น ขี้ลืม ฟุ้งซ่าน กังวล ระแวง ขี้งก เห็นแก่ตัว  กลายเป็นตัวการก่อเหตุวุ่นวายทำลายสันติสุขแก่คนใกล้ชิดรอบข้าง  ถ้าเราปล่อยตัวไปตามกระแส มันก็เป็นอย่างนี้แหละ  ต้องทุกข์อย่างนี้แหละ
แต่ถ้าเรารู้จักทำชีวิตให้พัฒนา ชีวิตในวัยนี้ก็อาจเป็นวัยทองได้ ท่านลองคิดดู ชีวิตในตอนสูงอายุมีเวลาว่างมากกว่าวัยอื่น ๆ (ยกเว้นท่านจะแส่หาเรื่องให้ยุ่งชีวิตเอาเอง) สามารถจะทำอะไรๆหลายอย่างให้แก่ชีวิตของเราเองได้เต็มที่  ตอนหนุ่มสาวและกลางคน เราทำงานเพราะอยากได้เงิน อยากได้ชื่อเสียง อยากได้อำนาจ    แต่ในวัยสูงอายุ  เราได้ทำงานที่เราอยากทำ  ทำงานที่เรารักเราสนใจ  โดยไม่ต้องสนใจเรื่องเงินมากนัก  เราสามารถมีเวลาทำกิจกรรมส่วนตัว  เช่น ออกกำลังกาย รับประทานอาหารช้า ๆ ทำสมาธิบ้าง  ทำงานอดิเรกที่เราชอบ และถ้าหากออกจากบ้านไปติดต่อธุระหรือเที่ยวเปิดหูเปิดตา  ก็สามารถออกจากบ้านตอนสาย ๆ ได้ ไม่ต้องเร่งร้อน  เราได้อ่านหนังสือเพื่อความสุขใจพอใจมากขึ้น  หนังสือเหล่านี้ซื้อมาแต่วัยหนุ่มวัยกลางคน  แต่ยังไม่มีเวลาอ่าน ตอนนี้ได้อ่านหนังสือที่อยากอ่านอย่างสมใจ เรามีเวลาปลูกต้นไม้ ชมดอกไม้ ชมธรรมชาติอย่างดูดดื่มซึมซับ นานกว่าเมื่อก่อน   อีกอย่างหนึ่งเมื่อก่อนไปพบปะผู้คนก็ต้องไหว้เขาก่อนเดี๋ยวนี้ไปไหนมาไหนมักมีแต่คนยกมือไหว้   ก็น่าภูมิใจไม่น้อย และประการสำคัญที่สุดเรามีเวลาพิจารณาเรื่องของชีวิต เข้าใจเรื่องของชีวิตมากขึ้นรู้ในความไม่เที่ยงของชีวิตชัดเจนขึ้นเพราะความจริงได้มาปรากฏแก่ตนเองแล้ว  ความรู้เรื่องชีวิตเป็นความรู้ที่สำคัญที่สุดที่มนุษย์ไม่ควรละเลย  ซึ่งคนอายุยังไม่มากมักจะไม่สนใจเรื่องชีวิตเอาเสียเลย  เอาแต่ขายชีวิตกินไปเรื่อยๆ จะตักเตือนอย่างไรก็ไม่ยอมฟัง
            ถ้าเราจัดชีวิตให้ดี  วัยสูงอายุก็เป็นวัยทอง เป็นวัยที่เราใฝ่ฝัน เฝ้าคอยว่า เมื่อไรจะถึงวันนั้นเสียที  แต่ถ้าเราจัดชีวิตไม่ดี  วัยสูงอายุก็เป็นวัยทรมาน  ถ้าอย่างนั้นเรามาจัดชีวิตกันดีกว่า  ให้เป็นชีวิตวัฒนา คือ เป็นชีวิตที่เจริญยั่งยืนนาน
เรื่องอายุ ตำราจีนบอกว่าคนอายุยืนหลายร้อยปีมีหลายคน 
            จากหนังสือฉบับที่ผมกล่าวถึงในตอนแรก ได้กล่าวว่า คนจีนเป็นคนที่มีชีวิตชีวา ใฝ่หาวิธีการที่จะทำให้อายุยืนและมีสุขภาพกายสุขภาพใจสมบูรณ์ ฉะนั้นจึงไม่แปลกใจว่า คนจีนหลายคนมีอายุยืนหลายร้อยปี  ถึง 700 ปีก็มี (เชื่อไม่เชื่อคิดดูเอง ผมไม่ทราบเหมือนกันว่าจริงหรือเท็จเพื่อความสะดวก ผมขอทำเป็นตารางให้ท่านพิจารณาดู
ส่วนหนึ่งของคนจีนผู้มีอายุยืนยาวในสมัยโบราณ
 


                            ชื่อ                                           อายุ                                                 สมัย
 


จักรพรรดิHuang Di (จักรพรรดิเหลือง)        มากกว่าร้อยปี                     5,000 - 6,000 ปีมาแล้ว
อาจารย์ Peng Zu                                        767 ปี แล้วหายไป                กษัตริย์ Yao ราชวงศ์ถัง
อาจารย์ Lao Zi (เหลาจื้อ) ผู้ตั้งลัทธิเต๋า          300 ปี
Gui Gu Zi                                                            หลายร้อยปี                           475 - 221 ปี ก่อนคศ.
Cui Wen Zi                                                          300 ปี                                     246 - 210 ปี ก่อน คศ.
Li Gen                                                                   มากกว่า 700 ปี                     จักรพรรดิ์ Wu Di ราชวงศ์ฮั่น
Li Changzai                                                         มากกว่า 800 ปี                     ราชวงศ์ฮั่นตะวันออก
 


            ที่มา : Liu Zhengcai  .The Mystery of LongevityBeijing: Foreign Languages                                            Press. 1990.
ที่ผมยกตัวเลขอายุยืนยาวตามที่คุณหมอ หลิ่ว เช็งไข นำมาอ้างนั้น  ก็เพื่อให้ท่านที่สูงอายุขนาด 80-90 ขวบ ได้พิจารณาสังขารว่า ตัวเรานี้ ยังเยาว์วัยนัก หากเราจะอยู่ได้ถึง 800 ปีแล้ว อายุเราเพิ่งล่วงมาเพียง 1 ใน 10 ของอายุขัยมนุษย์เท่านั้น”  คิดอย่างนี้แล้วก็ดีใจ ลืมแก่ลืมตายไปได้เหมือนกัน  แต่ผมเองก็สงสัยสถิติเหล่านี้เหมือนกันว่าเท็จจริงเพียงใด  เอาเป็นว่าฟังสองหูเก็บไว้หูเดียวก็แล้วกัน
            ปัญหาอีกอย่างคือ เรื่องชื่อจีนเขียนภาษาฝรั่งหรือแม้เขียนเป็นภาษาจีนก็ตาม คนจีนสิบคนที่อยู่สิบเมืองต่างกันก็อ่านออกเสียงต่างกันสิบอย่าง  ฉะนั้นเมื่อผมเขียนชื่อคนจีนเป็นเสียงภาษาไทย ก็ไม่มีทางถูกต้องได้  หรือใครคนหนึ่งบอกว่าถูก แต่ใครอีกหลายคนก็บอกว่าผิด  ด้วยเหตุผลดังกล่าวผมจึงเขียนชื่อโดยใช้เสียงเป็นภาษาอังกฤษ  ส่วนท่านจะอ่านอย่างไรก็อ่านไป  ผมไม่ว่ากระไร  นอกจากจะบอกแต่เพียงว่า คุณอ่านของคุณไปคนเดียวก็แล้วกัน  ถึงอย่างไรก็คงไม่ถูกต้อง  แม้จะให้คนจีนอ่านให้ก็ไม่ถูก  แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ  เอาเนื้อความเป็นหลักดีกว่า
วิธีปฏิบัติตนเพื่อชีวิตวัฒนา
ถ้าท่านต้องการชีวิตวัฒนา ท่านก็ต้องปฏิบัติตนดังนี้
     1. จำกัดการกินการดื่มให้ถูกหลัก
     2. ฝึกการดำรงชีวิตประจำวันให้ถูกหลัก
     3. อย่าโหมเกินกำลัง
     4. รักษาจิตใจให้สงบ
1. จัดการกินการดื่มให้ถูกหลัก
     เทคนิคที่จะทำให้อายุวัฒนาอย่างหนึ่งก็คือ กินระวัง  ดื่มระวัง  อย่าตามใจปาก  กินแต่พอดีอย่าให้อิ่มอืด  รับประทานมังสวิรัติดีกว่าอาหารเนื้อสัตว์  ผักที่นำมาปรุงอาหารควรเป็นผักที่ปลูกเอง จะได้ทั้งสุขภาพกายและสุขภาพใจ  การปลูกผักเองทำได้ง่ายมาก นอกเสียจากท่านเป็นคนเกียจคร้านแก้ตัว  แม้แต่อยู่ที่แคบในเมืองก็สามารถปลูกลงกระถางได้  ขอให้ลองซื้อเมล็ดพันธุ์ผักมาปลูกสักครั้ง แล้วท่านจะติดใจ  การซื้อผักจากตลาดเป็นการเสี่ยงภัยมาก  เพราะมีสารพิษฆ่าชีวิต และมีปุ๋ยเคมีซึ่งเป็นอันตรายช้าๆต่อร่างกาย
     จงดื่มน้ำชาจีนเป็นประจำ  ชงอ่อนๆเป็นสีเหลือง อย่าให้ถึงกับเป็นสีน้ำตาลเข้ม  และต้องปล่อยให้เย็นลงหน่อยพออุ่นน้อยๆ  ถ้าดื่มขณะร้อนจัดจะเป็นมะเร็งที่คอหรือที่หลอดอาหาร  การดื่มชาเข้มจะกระทำเฉพาะเมื่อท้องเสีย ถ่ายอุจจาระบ่อยเท่านั้น
     การกินแต่ละครั้งสำหรับผู้หวังชีวิตวัฒนา จะต้องคิดเสียก่อนทุกครั้ง  กินแล้วจะให้โทษหรือให้คุณ ถ้าเห็นว่าให้โทษก็อย่ากิน  ถ้าเห็นว่าให้คุณจึงกิน  ท้องว่างจึงกิน ท้องอิ่มอย่ากิน  มีคำเตือนใจที่ดีของ ชาง หัว นักปราชญ์จีนกล่าวไว้เมื่อประมาณปี ค..265-420ว่า กินน้อยทำให้ใจกว้างและอายุยืน  กินมากทำให้ใจแคบและอายุสั้น
     ปราชญ์ เอ๋า หยิง ยุคราชวงศ์หมิงกล่าวว่า คนกินมากจะเกิดทุกข์5ประการ คือ
     1. ขี้บ่อย  2. เยี่ยวบ่อย  3. นอนทรมาน  4. กายหนัก ลำบากแก่การขยับเขยื้อนร่างกาย   
   5. อาหารไม่ย่อย ท้องอืด
     ข้อ 1. และ 2. ผมไม่เห็นด้วย  เพราะผมเองก็เป็นคนขี้บ่อยเยี่ยวบ่อย(ขออนุญาตใช้คำโบราณ เพราะเราคุยกันถึงเรื่องโบราณก็ระบบขับถ่ายของผมดี กินของใหม่ ก็ดันของเก่าออกได้ทันที สบายท้องดีจริงๆ   ส่วนข้ออื่นๆผมเห็นด้วยหมด
     อีกอย่างหนึ่ง กินอาหารเบาๆหลายมื้อ ดีกว่ากินหนักมากมื้อเดียว   เคยทราบว่านักการเมืองไทยคนหนึ่งกินมื้อเดียว แต่อัดเข้าไปเกือบเต็มบาตรพระ  อย่างนั้นไม่ถูกสุขลักษณะ  อย่าเอาอย่าง
     การกินผักเป็นสิ่งที่ดี  จงกินพืชผักมากกว่ากินเนื้อสัตว์  อย่าลืมผลไม้ด้วย   ธัญพืช เช่น ข้าว ข้าวโพด ดีต่อสุขภาพ    อาหารทุกอย่างขอให้เป็นอาหารที่ง่ายๆ ไม่ปรุงแต่งมาก   
   การดื่มน้ำชา  ชาวจีนโบราณนิยมดื่มน้ำชา    น้ำชามีคุณประโยชน์ที่ตำราว่าไว้ดังนี้   1. บำรุงน้ำลาย (น่าชงให้สส.ดื่มเป็นประจำดับกระหายน้ำ  2. เพิ่มความแข็งแรงแก่ร่างกาย กระตุ้นระบบประสาท  3. ช่วยย่อยอาหารและละลายไขมัน  4. ขับเหงื่อและรักษาหวัด  5. ลดน้ำหนัก 6. ช่วยให้สมองโปร่ง ความคิดแล่น ความจำดี  7. อายุยืน     ถ้าได้ดื่มน้ำชาถึง7ถ้วย (ใหญ่เล็กเพียงใดไม่ทราบ) ตัวจะเบาเหมือนหลุดพ้นจากพันธนาการที่โลกผูกเราเอาไว้  วัฒนธรรมการดื่มชาแพร่จากจีนไปญี่ปุ่นอีกต่อหนึ่ง
     ถึงอย่างไรก็อย่าลืมว่า อย่าดื่มน้ำชาที่ร้อนและเข้มข้นเกินไป  แทนที่จะให้คุณกลับเป็นโทษ
     บุหรี่ มีโทษมาก ทำให้ระบบย่อยอาหารเสีย ดูดซึมอาหารเลี้ยงร่างกายได้ยาก  ยิ่งกว่านั้นภรรยาจะเป็นมะเร็งในวัยกลางคน และตนเองจะเป็นมะเร็งในยามสูงอายุ
     เหล้าผลไม้และเหล้าจากข้าว ถ้าเพียงแต่จิบน้อยๆสัก2จิบก็ไม่มีโทษ อาจช่วยย่อยอาหาร และเลือดฉีดดีทั่วร่างกาย  แต่จงระวังพิษร้ายสะสมในตับ ถ้าดื่มบ่อยเกินไป   การดื่มเหล้ามากเป็นอันตรายต่อทุกอวัยวะ ก่อมะเร็ง ความคิดเลอะเลือน และทำให้อายุสั้น
      เนื้อสัตว์บำรุงกำลัง  ไม่มีสัตว์ใดในโลกที่กินแล้วเป็นยาโป๊บำรุงกำลัง มันก็ให้ได้เพียงทำให้เกิดเนื้อหนังเหมือนเนื้อสัตว์โดยทั่วไป(สมัยนี้เรียกว่า โปรตีนมีเรื่องเล่ากันมาว่า ในกาลครั้งหนึ่ง ประมาณ500-600ปีล่วงมาแล้ว มีซินแส(หมอ)ใจโหดคนหนึ่ง คิดค่ารักษาไข้ในราคาแพงมาก  คนไข้ที่ยากจนบางคนไม่มีเงินค่ารักษา  ทำให้ซินแสโหดคนนี้โกรธจัด คิดจะแก้แค้นทรมานคนไข้ จึงออกอุบายว่าไข้นี้ยังไม่หายขาด จะต้องกินยาต่อไปสักระยะหนึ่ง  ยาที่ว่านี้หายากมาก ต้องไปจับหมีเป็นๆมาจากภูเขา แล้วฆ่าหมี ตัดตีนทั้งสี่กินสดๆให้หมดภายใน3วัน  คนไข้รายนี้เดินทางเข้าป่าล่าหมีเพื่อเอามาทำยา  ในที่สุดเขาก็ถูกหมีกัดตายสมใจหมอ  แต่ข่าวเล่าลือว่า ตีนหมีเป็นยาดีกลับแพร่ไปไกล และกลายเป็นความเชื่อถือของผู้โง่เขลาทั่วไปจนทุกวันนี้
     นักปราชญ์โบราณของจีนได้กล่าวห้ามไว้ว่า  อย่าอุตริกินสัตว์ที่คนทั้งหลายเขาไม่กินกัน (เช่น หมี ลิง ชะนี จรเข้ ฯลฯเพราะนั่นมันเป็นลักษณะของเปรตและปีศาจ  ถ้าขืนล่วงละเมิดจะเจ็บป่วยและเคราะห์ร้ายทั้งครอบครัว 
     รสอาหาร  จืดไว้เป็นดี  อาหารรสจัด คือ เค็มจัด เผ็ดจัด หวานจัด เปรี้ยวจัด ทำลายร่างกาย โดยเฉพาะ กระเพาะ ลำไส้ หัวใจ ความดันเลือด ทำให้อารมณ์รุนแรง ขาดความสุขุมรอบคอบ  ความเชื่อของปราชญ์จีนกล่าวว่า อาหารรสจัดเป็นอาหารของคนชั้นต่ำ      
     การเคี้ยว  ผู้หวังจะมีอายุยืนควรสร้างนิสัยเคี้ยวอาหารให้ละเอียดแล้วจึงกลืน ซึ่งคงไม่ค่อยทันใจคนใจร้อน เพราะต้องเสียเวลานาน  แต่ก็เป็นการเสียเวลาที่คุ้มค่า   อาหารที่ถูกบดละเอียดแล้วจะย่อยง่าย ถูกนำเข้าสู่กระแสเลือดได้มากกว่าอาหารหยาบ   นอกจากนั้นในทางจิต การเคี้ยวนานเป็นการให้ความสำคัญต่ออาหารต่อการกิน   นี้เป็นหลักธรรมชาติปกติเหลือเกิน   เมื่อเราให้ความสำคัญต่อสิ่งใดสิ่งนั้นย่อมให้คุณต่อเรา
     การพิจารณาก่อนกิน  เป็นธรรมเนียมของหลายชาติหลายภาษา ที่สั่งสอนกันมาว่า ก่อนกินให้พิจารณาว่า อาหารที่ตกถึงปากเรานี้เกิดจากผู้มีคุณทั้งหลายร่วมกันทำมา ชาวนาชาวสวนเป็นผู้ปลูก แม่ครัวเป็นผู้ปรุง มีผู้ออกแรงจัดสำรับมาตั้งให้เรียบร้อย  และยังมีผู้ออกเงินซื้ออาหารเหล่านี้อีก  ขอขอบคุณผู้มีส่วนร่วมทุกท่าน ขอให้ผู้มีส่วนร่วมทุกท่านจงเจริญ”  การตั้งจิตนึกรู้คุณต่อผู้มีพระคุณทำให้ชีวิตวัฒนา
     อย่ากองเศษอาหารบนโต๊ะอาหาร   คนขาดการอบรมมักกองเศษอาหารบนโต๊ะ โดยไม่รู้สึกรังเกียจ  ท่านที่ต้องการชีวิตวัฒนาโปรดอย่าทำเช่นนั้น  เพราะจิตจะดูดซับสิ่งไม่เป็นมงคลเข้าไปในชีวิต  เนื่องจากขณะกินอาหารจิตใจกำลังดูดซับสิ่งภายนอกเข้าสู่ร่างกาย  ถ้าสิ่งแวดล้อมไม่ดีมีเศษอาหารกองอยู่แล้ว ชีวิตจะไม่วัฒนา
     อย่าทำเสียงซู้ดซ้าด อย่าเคี้ยวดังจั๊บๆ  แม้ว่าเราอร่อยกับรสอาหารสักปานใดก็จงสำรวมกิริยา  เคี้ยวอาหารจงหุบปาก เพื่อมิให้ดังจั๊บๆน่าเกลียด  และอย่าซดน้ำแกงดังซู้ดซ้าด  จะเป็นอัปมงคลชีวิต ชีวิตมีแต่เรื่องเดือดร้อน  เรื่องนี้แม้คนจีนทั่วไปจะชอบทำ แต่นักปราชญ์จีนตำหนิมาก
     การล้างทำความสะอาดภาชนะ  เราคงเคยเห็นพวกกรรมกรกินอาหาร  เมื่อพวกเขากินเสร็จจะกองชามจานลงในถัง ไม่ยอมล้าง ดูน่าสกปรก  เมื่อเวลาจะกินใหม่ก็หยิบมาล้างเท่าที่จะใช้งาน  คนพวกนี้จะหาความเจริญไม่ได้  เพราะไม่ทำตนเป็นคนพัฒนา   ฉะนั้นถ้าเราไม่ใช่คนต่ำ เมื่อกินแล้วจงล้างชามจาน หม้อ กะทะ ให้เรียบร้อย  คว่ำตากแดดให้แห้ง จึงเป็นมงคล   ถ้าไปกินที่บ้านของคนื่นจะต้องช่วยเขาล้างชามจานให้สะอาดด้วย  อย่าทำเฉยเมย  เขาจะสาปแช่งไล่หลังเอา   
2.หลักปฏิบัติประจำวัน
                        เคล็ดลับสำคัญอย่างหนึ่งของการมีอายุยืน คือ ต้องมีหลักใช้ชีวิตประจำ วันที่แน่นอน ทำงานและพัก ตามกำหนดเวลาที่ตั้งไว้
                        นักปราชญ์กวนซี (ประมาณ 600 ปี ก่อนคศ.) บันทึกไว้ว่า การใช้ชีวิตประจำวันแบบสะเปะสะปะไม่มีกำหนดเวลาแน่นอน ทำให้เหนื่อยล้าและอายุสั้น”  นอกจากนั้นตำราหลักการแพทย์โบราณของจักรพรรดิเหลืองแนะนำการปฏิบัติตัวแต่ละฤดูต่างกัน  เพื่อให้ร่างกายและจิตใจปรับตัวตามดินฟ้าอากาศ โดยแนะนำให้ปฏิบัติดังนี้
                        ในฤดูใบไม้ผลิ ควรนอนช้า และตื่นเร็วแต่เช้า ตื่นแล้วเดินเล่นในสนาม
                        ในฤดูร้อน ควรนอนช้า และตื่นเร็ว  ตื่นแล้วบริหารร่างกายกลางแสงแดด
                        ในฤดูใบไม้ร่วง  ควรนอนเร็วและตื่นเร็ว  ตื่นพร้อมเสียงนกเสียงกา
                        ในฤดูหนาว  ควรนอนเร็วและตื่นช้า  นอนรอแสงตะวันจึงค่อยตื่น
                        โปรดทราบว่าในเมืองจีนมี 4 ฤดู  เพราะเป็นเมืองหนาว  ในฤดูร้อนกลางวันยาว  3-4 ทุ่มยังสว่าง  ตอนเช้า ตี 4 สว่างแจ้งแล้ว  ครั้นถึงฤดูหนาว 4-5 โมงเย็นก็ค่ำ กว่าจะสว่างก็ 10.00 ฉะนั้นหลักปฏิบัติดังกล่าวข้างบนจะนำมาใช้ในเมืองไทยได้ก็ต้องดัดแปลงโดยน่าจะถือหลักว่า  ถ้ากลางคืนยาวก็นอนมาก  ถ้ากลางคืนสั้นก็นอนน้อยหน่อย  ทำตนให้สอดคล้องกับธรรมชาติ  ถ้านอนไม่พอกลางคืน ก็แถมตอนกลางวันนิดหน่อยก็ดี  ผู้สูงอายุควรได้นอนกลางวันบ้าง  จะชะลอความชำรุดของร่างกายได้  ช่วยให้ร่างกายฟื้นสดใสขึ้น  อย่าฝืนทำงานในขณะง่วงหรือเพลียจัด  เป็นอันตรายต่อร่างกายมาก
                        ตำราฉบับเดียวกันนี้กล่าวด้วยว่า คนดื่นเหล้ามาก เข้านอนและตื่นนอนไม่ตรงเวลา  และมีเพศสัมพันธ์ขณะเมา จะโทรมเมื่ออายุ 50 และตายก่อนเวลาอันควร”  สำหรับคนไทยนั้นผมอยากจะเพิ่มเติมว่า  ดูโทรทัศน์จนดึก(ซึ่งมักมีแต่รายการไร้สาระ) หรือกลับบ้านดึก เพราะมัวแต่เข้าสถานเริงรมย์ กินอาหารยามดึก  และทะเลาะกับภรรยาหรือสามีทำให้อายุสั้น
                        นักปราชญ์จีนรุ่นหลัง ตามตำราเล่มนี้ได้แบ่งวันหนึ่งออกเป็น 12 ช่วง ๆ ละ 2 ชั่วโมง  มีคำแนะนำการปฏิบัติตัวแต่ละชั่วโมงดังนี้
                        05.00-07.00 ตื่นพร้อมหรือก่อนพระอาทิตย์ขึ้น  ควงศรีษะวนซ้ายวนขวา และหันซ้าย หันขวา ก้มเงย อย่างละ 4 ครั้ง ควงไหล่ไปมาเพื่อคลายกล้ามเนื้อไหล่และเส้นเอ็นบริเวณนั้น  จากนั้นเอาฝ่ามือถูกันจนร้อน  แล้วนวดจมูก 2 ข้าง ตา 2 ข้าง และหู 2 ข้าง ถู 5-6 ครั้งทุกจุด  ต่อไปใช้ฝ่ามือปิดหูข้างละมือให้มิด เพื่อให้หูอุ่น  จากนั้นใช้สันมือตีท้ายทอยคือศีรษะด้านหลังเบา ๆ 20 ครั้ง  อย่าตีแรงจะมึนโง่  ตำราจีนเรียกว่า ตีกลองสวรรค์  จากนั้นเดินออกนอกอาคารไปออกกำลังกายเต๋าหยิน (Daoyin ภาษาจีนใช้ d ออกเสียง )กลางแจ้ง


การออกกำลังกายแบบเต๋าหยิน  คือ กายบริหารด้วยท่าทางต่าง ให้หลายอวัยวะได้เคลื่อนไหว  พร้อมทั้งหายใจเข้าออกเต็มที่เบาๆ เราคิดท่านเอาเองก็ได้
                       
ผมขอเพิ่มเติมความเห็นส่วนตัวเข้าไปดังนี้  ตอนเช้าตื่นนอนแล้วก่อนอื่นจงรีบเข้าห้องน้ำ  อย่ามัวแต่ทำอย่างอื่นอยู่  จัดการแปรงฟันให้สะอาด  เพราะปากหมักหมมทั้งคืน  มีกลิ่นปากเหม็นทุกคน  ถ้าเราพูดกับใครเขาจะเหม็นกลิ่นปากเราไม่เป็นมงคล  ยิ่งถ้าเป็นผู้หญิงปล่อยกลิ่นปากให้สามีดมรับอรุณ  ก็เป็นการขับสามีเข้าวัดบวชพระหรือไม่ก็ขับให้ไปหาเมียน้อยไว ๆ   จากนั้นถ่ายอุจาระให้ท้องสะอาด  อย่าลืมล้างก้นให้สะอาดด้วยสบู่  ถ้าเป็นแบบโยคีอินเดียเขาสอนให้ล้างก้นและอวัยวะเพศให้สะอาดด้วยสบู่  และล้างจมูกด้วยน้ำสะอาด (จะอธิบายวิธีล้างจมูกภายหลังจากนั้นอาบน้ำชำระร่างกายสะอาด  ถูตัวแรง ๆ ให้เลือดเดินดีเป็นการปลุกให้หายงัวเงีย  ถ้าสระผมก็ควรขยี้หนังหัว

วันเสาร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

บุพการีเสียชีวิต เราต้องรับผิดชอบหนี้บัตรเครดิตหรือไม่?

ความตาย คือเรื่องธรรมชาติ ที่ต้องเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นการเตรียมตัวเตรียมใจในหลายๆ เรื่องเป็นการใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท โดยเฉพาะเรื่องเงินๆ ทองๆ เพราะหากมีคนในบ้านเสียชีวิต โดยเฉพาะบุพการีของเรา ย่อมมีเรื่องเงินๆ ทองๆ ต้องเตรียมตัวมากมาย ทั้งเรื่องการจัดงานศพ การแบ่งทรัพย์สิน และที่สำคัญ เรื่องหนี้สิน ว่าเราต้องรับผิดชอบต่อจากพ่อและแม่หรือไม่ วันนี้ Money Guru จะพูดถึงหนี้บัตรเครดิตของบุพการีเป็นหลัก ว่าใครจะต้องเป็นคนรับผิดชอบ ซึ่งคำตอบคือ "ไม่ใช่ลูก" แต่เป็น "ทรัพย์สินของบุพการีที่มีก่อนเสียชีวิต"
ใครรับผิดชอบ?
แน่นอนว่า ก่อนที่บุพการีจะเสียชีวิต หลายท่านอาจทำพินัยกรรมไว้ ซึ่งในพินัยกรรมจะระบุบุคคลในครอบครัว หรือเพื่อนสนิทที่ไว้ใจ ให้ทำหน้าที่ผู้จัดการมรดก ซึ่งในกรณีที่ไม่มีพินัยกรรม รัฐจะเข้ามาจัดการตรงส่วนนี้ หากมีปัญหาเกิดขึ้น ซึ่งเมื่อมีผู้จัดการมรดกแล้ว หากบุพการีมีหนี้สินคงค้าง ผู้จัดการมรดกมีหน้าที่ในการแจ้งแก่เจ้าหนี้ทั้งหมดของผู้ตาย หลังจากที่เจ้าหนี้ทราบเรื่องแล้ว เจ้าหนี้จะทำการสรุปยอดหนี้ และแจ้งความประสงค์ที่จะยึดทรัพย์สินของผู้ตายตามจำนวนที่เหมาะสมกับหนี้สิน
ถ้าทรัพย์สินมีไม่พอล่ะ?
ประการแรก คุณต้องเข้าใจก่อนว่า ลำดับของการใช้หนี้เป็นอย่างไร หนี้ที่จะถูกใช้คืนเป็นอันดับแรกคือ หนี้ที่มีสินทรัพย์ค้ำประกัน ซึ่งหมายถึงสินเชื่อที่มีสินทรัพย์ผูกไว้ด้วย อาทิ รถยนต์ ที่พักอาศัย ส่วนหนี้สินลำดับต่อมาที่จะถูกใช้คือ หนี้สินที่ไม่มีสินทรัพย์ค้ำประกัน  ได้แก่บัตรเครดิต ซึ่งหากสินทรัพย์ทั้งหมดยังไม่เพียงพอในการจ่ายหนี้สิน ธนาคาร หรือเจ้าหนี้สามารถฟ้องล้มละลายได้ และบุคคลที่จะสามารถรับผลประโยชน์จากสินทรัพย์ของผู้ตาย จะไม่ได้ประโยชน์จากสินทรัพย์นั้นอีกต่อไป ซึ่งปกติแล้ว จะไม่มีใครที่ต้องจ่ายเงิน ธนาคารจะเพียงแค่ประกาศล้มละลาย ยึดทรัพย์ และยกหนี้ให้ แต่ถ้าต้องมีการจ่ายจริง ควรปรึกษานักกฎหมายก่อน ว่าสมเหตุสมผลหรือไม่ อาจจะมีวิธีที่ไม่ต้องจ่ายก็เป็นได้
แล้วเมื่อไหร่ล่ะ ที่เราอาจจะต้องรับผิดชอบหนี้สินแทน?
มีเพียงกรณีเดียวเท่านั้น ที่จะทำให้คุณต้องชดใช้หนี้สินแทนบุพการีของคุณ คือเมื่อคุณ "ลงนามกู้ร่วม" นั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นหนี้สินจากสินเชื่อปกติ หรือบัตรเครดิต  ก็ตาม เพราะการที่คุณลงนามร่วมกู้ มันเปรียบเสมือนว่าคุณได้ให้สัญญาว่า คุณจะรับผิดชอบหนี้สินอย่างเท่าเทียมกับผู้กู้ร่วม หรือผู้ตายนั่นเอง อย่างไรก็ตาม อย่าสับสนระหว่าง ผู้ถือบัตรร่วม หรือผู้กู้ร่วม กับ ผู้ที่ได้รับอนุญาตให้ใช้บัตรเครดิต (Authorized user of credit cards) ซึ่งหากเป็นในกรณีหลัง คุณจะไม่ต้องรับผิดชอบหนี้บัตรเครดิตใดๆ ทั้งสิ้น
แล้วจะทำอย่างไรกับบัตรและหนี้ก้อนนั้นดี?
หากคุณเป็นผู้ที่บุพการีระบุให้จัดการมรดกและทรัพย์สิน สิ่งแรกที่คุณควรทำคือ ทำลายบัตรนั้นทิ้งเสีย อาจจะตัดบัตร แล้วส่งไปรษณีย์กลับไปให้ธนาคารเจ้าของบัตร พร้อมระบุวันที่บุพการีของคุณเสียชีวิต ต่อมา ติดต่อบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด หรือเครดิตบูโร ให้ปิดรายงานบัตรเครดิตของบุพการีของคุณ
หากพ่อแม่มีหนี้สิน เรายังได้รับประโยชน์จากประกันชีวิตของพ่อแม่หรือไม่?
การประกันชีวิต ไม่ถือเป็นสินทรัพย์ของบุพการี เพราะฉะนั้น หากบุพการีเสียชีวิต เงินได้จากประกันชีวิตจะไม่สามารถถูกนำไปใช้จ่ายหนี้สินได้ ผู้ได้รับผลประโยชน์ ยังคงได้รับต่อไป ยกเว้นเสียแต่ว่า บุพการีระบุไว้อย่างชัดเจนให้ประกันชีวิตเป็นทรัพย์สิน หากบุพการีเสียชีวิต เจ้าหนี้สามารถยึดเงินได้จากประกันชีวิตได้อย่างชอบธรรม
********บทความ ข้อเขียนต่างๆที่เห็นว่ามีประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิต จึงนำมารวบรวมไว้ให้กลุ่มเพื่อนๆอ่านกัน
ที่มา http://bit.ly/1hiob91
PostToday 
30 พฤษภาคม 2557  

วันอังคารที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

แม่ แม่ อ่านแล้วซึ้งมาก

ลูกจ๋า อย่าส่งแม่ไปบ้านพักคนชราเลย!
อ่านเรื่องนี้แล้วคุณจะรักแม่ แล้วอย่าลืมส่งต่อไปนะครับ
mom
ลูกสะใภ้พูดว่า “ทำจืดแม่ก็ว่าไม่มีรสชาติ ตอนนี้ทำเค็มนิดหนึ่ง แม่ก็ว่ากินไม่ได้ แล้วจะเอายังไง!”
เมื่อแม่เห็นลูกชายกลับมา ไม่กล้าพูดอะไร ได้แต่กลืนข้าวเข้าปาก ลูกสะใภ้มองตามด้วยความโกรธ
เมื่อลูกชายลองชิมอาหารที่แม่กำลังกิน ก็พูดกับภรรยาว่า
“ผมบอกคุณแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าโรคของแม่กินเค็มมากไม่ได้?”
“เอาละ! ในเมื่อเป็นแม่ของคุณ วันหลังคุณก็ทำเองก็แล้วกัน”
ลูกสะใภ้กล่าวด้วยความโมโห แล้วก็สะบัดหน้าเดินเข้าห้องไป
ลูกชายเรียกตามด้วยความจนใจ จากนั้นก็หันมาพูดกับแม่ว่า
“แม่ครับ ไม่ต้องกินหรอก เดี๋ยวผมต้มบะหมี่ให้แม่กินนะครับ”
“ลูกมีอะไรจะพูดกับแม่ไหม? ถ้ามีก็บอกแม่เถอะ อย่าเก็บไว้เลย” แม่เห็นอาการกังวลของลูกชาย
“แม่ครับ เดือนหน้าผมได้เลื่อนตำแหน่ง เกรงว่าจะต้องมีงานที่มากขึ้น เมียผมก็อยากออกไปทำงาน คือว่า….”
แม่รู้ทันทีว่าลูกชายจะพูดอะไรต่อ….
“อย่าส่งแม่ไปอยู่บ้านพักคนชรานะลูก….” แม่พูดออกมาอย่างอ้อนวอน
ลูกชายนิ่งคิดไปนาน แต่ก็พยายามหาทางออกที่ดีกว่านี้
“แม่ครับ อยู่บ้านพักคนชราก็ดีนะแม่จะได้ไม่เหงา ที่นั่นมีคนดูแล ดีกว่าอยู่ที่บ้านนะครับ หากเมียผมไปทำงาน เธอจะไม่มีเวลาดูแลแม่เลยนะครับ”
หลังจากที่เขาอาบน้ำเสร็จ ก็ออกมาทานบะหมี่ จากนั้นก็เข้าไปที่ห้องหนังสือ เขายืนนิ่งอยู่ที่หน้าต่าง ในใจเกิดความสับสนขัดแย้ง ไม่รู้จะตัดสินใจอย่างไรดี!
แม่ของเขาเป็นหม้ายตั้งแต่ยังสาว กล้ำกลืนทนทุกข์เลี้ยงเขามาจนเติบใหญ่ อีกทั้งส่งเสียให้เรียนยังต่างประเทศ แต่แม่ไม่ได้อ้างสิ่งที่ทำไปเป็นเบี้ยต่อรองให้เขาต้องเลี้ยงดู กลับกันภรรยาผู้มาทีหลังกลับเรียกร้องให้เขาต้องรับผิดชอบ นี่เขาต้องส่งแม่ไปอยู่บ้านพักคนชราจริงหรือ?
“คนที่จะอยู่กับแกในช่วงบั้นปลายชีวิตคือเมียนะโว้ย ไม่ใช่แม่!” เพื่อนๆมักจะเตือนเขาอย่างนี้
“แม่ของเธอแก่แล้วนะ หากโชคดีก็อยู่กับแกได้อีกหลายปี ทำไมไม่อาศัยเวลาที่เหลือของแม่แล้วก็กตัญญูปรนนิบัติท่านละ อย่ารอให้แกอยากกตัญญูแต่แม่ไม่อยู่แล้ว แล้วแกจะเสียใจ!” ญาติๆมักจะเตือนเขาว่าอย่างนี้ เขาไม่กล้าคิดอะไรต่อ กลัวว่าตนเองจะเปลี่ยนแปลงความตั้งใจ เย็นแล้ว พระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า เขานั่งเงียบๆคนเดียวด้วยจิตใจที่หดหู่
ณ บ้านพักคนชราที่แสนจะหรูหรานอกชานเมือง เขาใช้เงินจำนวนมากเพื่อทดแทนความรู้สึกผิดต่อแม่ของเขา อย่างน้อยที่นี่ก็สะดวกสบาย  เมื่อเขาพยุงแม่เข้าสู่ตัวอาคาร ทีวีจอยักษ์กำลังฉายภาพยนตร์ตลกอยู่ แต่ไม่มีเสียงหัวเราะจากผู้ชมแม้แต่คนเดียว คนชราจำนวนหนึ่งที่สวมใส่เสื้อผ้าเหมือนกัน นั่งอยู่บนโซฟานั่งมองประตูทางเข้าด้วยสายตาอันเหม่อลอย หญิงชราคนหนึ่งกำลังก้มตัวลงไปเก็บขนมที่ตกอยู่ที่พื้นขึ้นมาใส่ปาก
เขารู้ว่าแม่ชอบห้องที่สว่างโล่ง จึงเลือกห้องที่แสงพระอาทิตย์สามารถสาดส่องเข้ามาได้ เมื่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ใบไม้กำลังร่วงลงสู่พื้นหญ้าเป็นจำนวนมาก นางพยาบาลหลายคนกำลังเข็นรถเข็นที่มีคนชรานั่งอยู่ออกไปชมพระอาทิตย์ตกดิน รอบตัวเงียบสงัด ทำให้เขาสะท้านวาบในจิตใจ แม้แสงพระอาทิตย์ยามลับขอบฟ้าจะงดงามสักเพียงใด นั่นก็หมายความว่าความมืดยามค่ำคืนกำลังจะย่างกรายเข้ามาแทนที่ เขาถอนหายใจเบาๆ
“แม่ครับ ผม….ต้องไปแล้วนะ” ผู้เป็นแม่ทำได้เพียงแค่พยักหน้า
ตอนที่เขาเดินจากมา แม่ยังคงโบกมือลาด้วยสีหน้าอันเศร้าสร้อย อ้าปากพูดโดยไม่มีเสียงอยู่ตลอดเวลา เมื่อเขาหันมามอง จึงเห็นผมสีดอกเลาของแม่ เขานึกในใจ “แม่แก่แล้วจริงๆ” อยู่ๆ ภาพในครั้งอดีตก็ผุดขึ้นในห้วงแห่งความคิด ปีนั้นเขาอายุได้เพียงแค่6ขวบ แม่มีธุระต้องไปต่างจังหวัด จึงต้องพาเขาไปฝากไว้ที่บ้านคุณลุง ตอนที่แม่จะออกจากบ้านไป เขารู้สึกกลัวมาก เอาแต่กอดขาแม่ไม่ยอมให้แม่ไป
“แม่จ๋าอย่าทิ้งหนูไป แม่จ๋าอย่าทิ้งหนูนะ!” สุดท้าย แม่ก็ไม่กล้าทิ้งเขาไปต่างจังหวัด
เขารีบก้าวเท้าเดินออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด เมื่อปิดประตูแล้วก็ไม่กล้าหันไปมองแม่อีก
เมื่อกลับถึงบ้าน เขาเห็นภรรยาและแม่ยายกำลังเก็บเอาข้าวของของแม่โยนออกมานอกห้อง
ถ้วยรางวัลรูปคนยืนสูงประมาณ3ฟุตที่เขาชนะเลิศประกวดเรียงความ “แม่ของฉัน”
พจนานุกรมอังกฤษจีนที่แม่ซื้อให้เขาในวันเกิดซึ่งเป็นของขวัญชินแรกที่เขาได้รับจากแม่
ยังมียาหม่องน้ำที่แม่ต้องทาขาก่อนนอนทุกวัน
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ! พวกคุณโยนของๆแม่ผมออกมาทำไม?” เขาถามออกไปด้วยความโมโหสุดขีด
“ขยะทั้งนั้น ถ้าไม่ทิ้ง แล้วฉันจะเอาของๆฉันวางไว้ตรงไหน?”แม่ยายพูดอย่างไม่สบอารมณ์
“ใช่แล้ว คุณรีบเอาเตียงเน่าๆของแม่คุณไปทิ้งได้แล้ว พรุ่งนี้ฉันจะซื้อเตียงใหม่ให้แม่ฉัน!”
รูปเก่าๆสมัยเขายังเด็กกองอยู่กับพื้น มันเป็นรูปที่แม่พาเขาไปเที่ยวสวนสัตว์และสวนสนุก

“นั่นมันเป็นสมบัติของแม่ผม ใครก็เอาไปทิ้งไม่ได้!”
“มันจะมากเกินไปแล้วนะ มาทำเสียงดังกับแม่ฉันได้ยังไง ขอโทษแม่ฉันเดี๋ยวนี้!”
“ผมเลือกคุณก็ต้องรักแม่คุณด้วย แต่คุณแต่งงานเข้ามาอยู่บ้านผม ทำไมคุณรักแม่ผมไม่ได้?”
ท้องฟ้าอันมืดมิดหลังฝนตก หนาวสะท้านเข้าไปถึงหัวใจ ท้องถนนที่ว่างเปล่าไร้รถรา บีเอ็มดับบลิวคันหนึ่งพุ่งไปข้างหน้าราวกับอยู่ในสนามแข่ง พร้อมกับเสียงสะอื้นไห้ของชายคนหนึ่งซึ่งมุ่งไปทางบ้านพักคนชรานอกเมือง จอดรถเสร็จ เขารีบวิ่งขึ้นไปที่ห้องพักของแม่ เมื่อเปิดประตูเข้าไป เขายืนมองแม่ด้วยความรู้สึกที่ไม่น่าให้อภัยตัวเอง แม่ของเขาก้มหน้าใช้มือนวดที่ขาของตัวเอง
เมื่อแม่ของเขาเงยหน้าขึ้นมองไปที่ประตู ก็เห็นลูกชายของตัวเองยืนอยู่และในมือถือยาหม่องน้ำอยู่ และก็พูดออกมาด้วยเสียงอ่อนโยนว่า
“แม่ลืมเอามาด้วย ดีนะที่ลูกเอามาให้…”
เขาเดินไปหาแม่และคุกเข่าลงไป
“ดึกแล้วลูก แม่ทาเองได้ พรุ่งนี้ลูกต้องไปทำงานแต่เช้า กลับไปเถอะ!”
เขานิ่งไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้
“แม่ครับ ผมขอโทษ แม่ยกโทษให้ผมนะ กลับบ้านเราเถอะ!”
#########################
ลูกรัก ตอนที่เจ้ายังเด็ก แม่ใช้เวลาทั้งหมดค่อยๆสอนให้เจ้าใช้ช้อนใช้ตะเกียบคีบอาหาร สอนเจ้าใส่รองเท่า สอนเข้ากลัดกระดุม สอนเจ้าใส่เสื้อผ้า อาบน้ำให้เจ้า เช็ดอุจาระปัสาวะให้เจ้า สิ่งเหล่านี้แม่ไม่เคยลืม หากวันหนึ่ง แม่จำไม่ได้ หรือเริ่มพูดช้าลง ขอเวลาให้แม่สักหน่อย รอแม่ได้ไหม ให้แม่ได้คิด…บางครั้ง สิ่งที่แม่อยากจะพูดกับเจ้า แม่อาจจะพูดกับเจ้าไม่ได้อีกแล้ว
ลูกรัก ลูกจำได้ไหม แม่ต้องสอนเจ้ากี่ร้อยครั้งให้เจ้าพูดว่าคำว่าแม่ได้!
แม่ดีใจมากแค่ไหนที่เจ้าเริ่มพูดเป็นประโยคได้?
แม่ต้องตอบคำถามของเจ้ากี่ร้อยครั้ง กว่าเจ้าจะเข้าใจในสิ่งที่เจ้าสงสัย!
ดังนั้น หากวันหนึ่ง แม่ถามเจ้าซ้ำแล้วซ้ำอีกกับเรื่องเดิมๆ ขอให้เจ้าอย่ารำคาญจะได้ไหม?
ตอนนี้แม่อาจกลัดกระดุมเสื้อไม่ได้ ยามกินข้าวอาจหกเลอะเสื้อผ้า เจ้าอย่าเอ็ดแม่ได้ไหม?
ขอให้เจ้าอดทนและอ่อนโยนกับแม่ ขอเพียงเจ้าอยู่ข้างๆแม่ แม่ก็รู้สึกอุ่นใจ
ลูกรัก วันนี้ขาของแม่เริ่มอ่อนแรง ยืนได้ไม่ค่อยนาน เดินเหินลำบาก ขอให้ลูกจับมือและพยุงแม่ไว้
เดินเป็นเพื่อนแม่จนวันที่แม่สิ้นใจ เหมือนวันที่เจ้าคลอดมา แม่ก็พยุงเจ้าเดินอย่างนี้เหมือนกัน !
ไม่สำคัญว่าบทความนี้จะมาจากไหน แต่มันควรค่าแก่การบันทึกและเผยแพร่
ผมแน่ใจว่าคุณต้องเสียน้ำตาให้กับบทความนี้แน่นอน
อย่าลืมบอกรักคุณแม่ ในขณะที่ยังทำได้นะครับ

วันพฤหัสบดีที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2557

ทำนายเลขที่บ้าน

ความเชื่อเรื่องตัวเลขเป็นสิ่งที่หลายคนให้ความสำคัญ ถึงจะไม่ได้ยึดถืออย่างเคร่งครัดแต่ถ้านำตัวเลข 0 ถึง 9 มาเขียนเรียงกันคุณจะพบว่ามีเกณฑ์หรือความรู้สึกบางอย่างที่ทำให้คุณสามารถแยกตัวเลขที่ชอบและไม่ชอบออกจากกันได้  หรือบางครั้งอาจจะสามารถจัดเรียงลำดับตามความชอบได้อีกด้วย  บ่อยครั้งที่เราต้องตัดสินใจบางอย่างเกี่ยวข้องกับตัวเลข  ที่เห็นได้บ่อยก็คือการเลือกซื้อบ้านสักหลัง หรือคอนโดฯ สักยูนิต  บ้านเลขที่หรือเลขชั้นมีผลต่อการตัดสินใจของเราอย่างมาก มีคำทำนายเกี่ยวกับบ้านเลขที่มาฝาก  
เริ่มจากนำตัวเลขบ้านเลขที่มารวมกันจนเหลือหลักหน่วย โดยไม่ต้องคำนึงถึงเครื่องหมายทับ ( / ) เช่น 24/39 ให้นำ 2+4+3+9 = 18 แล้ว 1+8 = 9 จากนั้นอ่านคำถามนายหมายเลข 9 ด้านล่าง
ผลรวมเป็น 1
บ้านของผู้นำ  ผู้อยู่อาศัยจะเป็นคนใจร้อน เด็ดเดี่ยวและยืนหยัดในความเห็นของตน มีความเป็นผู้ใหญ่และผู้นำสูง และชอบช่วยเหลือผู้อื่น  เจ้าของบ้านที่ทำธุรกิจจะประสบความสำเร็จ  ถ้าประกอบอาชีพรับราชการก็จะรุ่งเรือง  แต่จะเป็นคนที่ค่อนข้างสันโดษไม่ชอบสังคมเท่าไร  ถ้าบ้านของคุณเลขที่นี้ แนะนำให้ปลูกต้นไม้ที่ลำต้นตรง หรือใช้เฟอร์นิเจอร์ในแนวตั้ง  หลีกเลี่ยงสีแดงและส้ม  ควรใช้สีอ่อนทาภายในบ้าน  และหากตกแต่งบ้านด้วยเครื่องใช้ที่ดูหรูหราจะช่วยเสริมชะตาให้กับเจ้าบ้านอีกด้วย
ผลรวมเป็น 2
บ้านของนักสังคม  ด้วยนิสัยช่างเอาใจใส่คนอื่น  ใครๆ ที่อยู่ใกล้ก็รู้สึกอบอุ่น เป็นเสน่ห์ที่ทำให้คุณเป็นคนที่เพื่อนๆ นึกถึง  เพื่อนฝูงของคุณเยอะทีเดียว ชนิดที่ว่าไปไหนต้องมีเพื่อนไปด้วยเพราะคุณไม่ชอบทำอะไร หรือคิดอะไรคนเดียวหรอกนะ  การมีสังคมจึงเป็นสิ่งจำเป็นของคุณเลยล่ะ  ถ้าลงทุนทำธุรกิจก็ต้องทำร่วมกับคนอื่นธุรกิจจึงจะไปรอด  บ้านเลขที่นี้ควรประดับตกแต่งโดยมีน้ำเป็นองค์ประกอบ ไม่ว่าจะเป็น น้ำพุ บ่อปลา หรือตู้ปลาตั้งไว้ในตำแหน่งที่เห็นได้เด่นชัด  ปลูกไม้น้ำด้วยก็ยิ่งดีจะส่งเสริมทางด้านการเงิน  ทาสีบ้านด้วยสีโทนอ่อน ขาวนวล หรือเหลืองครีม และม่านโปร่งให้แสงผ่านได้
ผลรวมเป็น 3
บ้านคนสู้ชีวิต  บ้านหลังนี้เหมาะกับคนที่กล้าได้กล้าเสีย ไม่เกรงกลัวใคร ชอบใช้กำลัง และซื่อสัตย์ ขยัน รักความยุติธรรม  คนที่อยู่บ้านหลังนี้มักไม่ค่อยอยู่นิ่งเป็นคนกระฉับกระเฉง เพราะใจร้อน  ยิ่งถ้าคุณเป็นทหารหรือตำรวจล่ะก็บ้านหลังนี้เหมาะสมกับคุณที่สุด  ควรปลูกต้นไม้ที่มีกิ่งก้านสาขามาก  ประตูบ้านให้มีลักษณะที่แข็งแรง รั้วบ้านทำด้วยโลหะ การตกแต่งเน้นความเป็นระเบียบ ของแต่งบ้านสีเหลืองทอง ชมพู และการแขวนกระดิ่งลมจะช่วยเสริมราศีของเจ้าบ้าน
ผลรวมเป็น 4
บ้านนักสื่อสาร  คนที่อยู่บ้านหลังนี้จะมีปากเป็นเอก ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับการสื่อสาร การเจรจา การต่อรอง จะโดดเด่นเป็นพิเศษ  ถ้าหากทำธุรกิจค้าขายโดยเฉพาะขายตรงก็จะรุ่งเรืองมาก  นอกจากนี้คนที่อยู่บ้านนี้ยังเป็นคนที่มีสติปัญญาดี มีไหวพริบ เลข 4 เป็นเลขที่แสดงถึงสติปัญญาอีกด้วยงานด้านวิชาการที่ต้องถ่ายทอดความรู้ เช่น ครู อาจารย์ วิทยากร จะทำได้ดี  ทั้งยังเป็นที่เอ็นดูจากผู้ที่อาวุโสกว่าด้วยนะ  บ้านหลังนี้ควรออกแบบให้มีอากาศถ่ายเท ใช้สีเขียวเป็นหลัก  ประดับด้วยภาพวาดหรือภาพถ่ายธรรมชาติ ปลูกไม้ดอกกลิ่นหอมและต้นไม้ใบเขียว เลี้ยงนก เลี้ยงปลา จะช่วยเสริมดวง
ผลรวมเป็น 5 
บ้านนักวิชาการ  ว่ากันว่าบ้านหลังนี้จะมีคนมาเยือนชนิดที่ว่าหัวกระไดไม่แห้ง เพราะความเป็นผู้รู้และความน่าเชื่อถือของเจ้าบ้านจนกลายเป็นที่พึ่งพาที่ใครๆ นึกถึงยามเกิดปัญหา และคุณก็เป็นคนที่รับบทบาทที่ปรึกษาได้ดีเสียด้วย  ไม่แปลกที่คนบ้านนี้มักจะทำงานในแวดวงวิชาการ เช่น นักวิชาการ นักวิจัย ครู อาจารย์ ไม่ว่าจะทำอาชีพอะไรก็จะเป็นที่เคารพ ยกย่อง โทนสีที่เหมาะสมคือสีขาวและเหลือง ควบคู่กับการตกแต่งอย่างเป็นระเบียบและดูเป็นทางการ  ตั้งวางชั้นหนังสือ ตู้โชว์รางวัลต่างๆ ภาพความสำเร็จ และภาพบุคคลที่นับถือ และปลูกดอกไม้สีขาวจะเสริมราศี
ผลรวมเป็น 6
บ้านนักขาย  ใครอยู่บ้านนี้จะเป็นคนที่เสน่ห์ มนุษยสัมพันธ์ดี เป็นที่ชอบพอและเอ็นดูจากคนรอบข้าง  เลข 6 เป็นเลขที่ดีสำหรับการค้าขายและโชคลาภเรื่องเงินทอง ไม่ว่าจะขายอาหาร เครื่องดื่ม เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องประดับหรือสินค้าฟุ่มเฟือยก็จะขายได้ดี  หรือจะทำกิจการที่เกี่ยวข้องกับการเกษตรก็จะไปได้สวย  ทาสีบ้านด้วยสีฟ้า  ประดับบริเวณด้วยไม้ดอกและไม้ผล โดยเฉพาะไม้ดอกมีกลิ่นหอม  รวมไปถึงการใช้เครื่องหอมในบ้าน และมีเสียงเพลงเบาๆ อยู่ตลอด  เสริมดวงด้วยของตกแต่งบ้านมีดีไซน์แปลกตา
ผลรวมเป็น 7
บ้านนักสู้  ถ้าคุณเชื่อว่าความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น  การอยู่บ้านหลังนี้จะไม่ทำให้คุณลำบากเลย  แม้ว่าเลข 7 จะเป็นเลขที่เกี่ยวข้องกับปัญหาและอุปสรรค  แต่ผู้อยู่บ้านหลังนี้เป็นคนที่อดทน ขยันและมุ่งมั่น มีกำลังใจที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว  แม้ว่าในช่วงแรกจะไม่ราบรื่นแต่ในที่สุดทุกปัญหาก็มีทางออกและผ่านพ้นไปได้ในตอนท้าย  การงานของคุณจะเกี่ยวข้องกับการเดินทางบ่อยๆ ด้วยนะ  สีเอิร์ธโทน สีน้ำตาลเป็นสีที่เหมาะสม  และการตกแต่งด้วยไม้และอิฐ สร้างความอบอุ่นและหนักแน่น  ปลูกไม้มงคล เช่น ขนุน มะยม โกศล พุทธรักษา ไม้ดอกต่างๆ จะเป็นมงคลแก่ผู้อาศัย
ผลรวมเป็น 8
บ้านนักกฎหมาย บ่อยครั้งผู้อยู่อาศัยในบ้านหลังนี้จะต้องเข้าไปมีส่วนร่วมในการตัดสินระหว่างความถูกและความผิด  เพราะคุณเป็นคนที่มีเหตุผล และมีความยุติธรรมที่ใครๆ ต่างยอมรับ  บางครั้งก็มาในรูปแบบของการทำงานที่ค่อนข้างมีแบบแผน ระบบระเบียบที่ตายตัว  งานที่คนบ้านนี้ทำก็เช่น นักกฎหมาย การพยากรณ์ การเงิน การบัญชี นักอนุรักษ์ งานตรวจสอบ หรือซ่อมแซมต่างๆ เป็นต้น สีเข้มๆ เช่น เขียวขี้ม้า น้ำตาลปนเหลืองและเอิร์ธโทน เป็นเฉดสีที่ควรเลือกใช้ ประกอบกับม่านสีทึบ  ดูแลเก็บของที่ไม่จำเป็นออกจากบ้านอยู่เสมอ ปลูกไม้เลื้อย ไม่เถาและไม้พุ่มช่วยเสริมดวง
ผลรวมเป็น 9
บ้านผู้มีชื่อเสียง  คนอยู่บ้านหลังนี้เป็นคนมีอำนาจและเป็นที่นับถือจากคนทั่วไป  เลข 9 เป็นเลขที่ดีมาก หมายถึงการมีพระคุ้มครอง บารมี และความสามารถประสบความสำเร็จได้ด้วยตนเอง  ผู้ที่อาศัยบ้านนี้อาจไม่ชอบสังคมกับใครนัก แต่เป็นคนที่พูดสื่อสารได้ดี งานที่ใช้การพูด เช่น นักพูด นักบรรยายจะมีชื่อเสียง  รวมไปถึงงานที่ต้องเกี่ยวข้องกับต่างประเทศ  บ้านเลขที่นี้ควรทาด้วยสีเรียบๆ เช่น สีเทา สีครีม หลีกเลี่ยงสีที่ฉูดฉาด  ปลูกต้นไม้มงคล เงินไหลมา ทองไหลมา โป๊ยเซียน กวนอิม และว่านต่างๆ ควรตกแต่งห้องพระให้สวยงาม จัดบ้านให้ สะอาด โปร่ง โล่ง และเปิดเพลงเพิ่มชีวิตชีวา    
ภาพ via remodelista.com
เรื่องข้างต้นนี้เขียนโดย เชษฐพล มานิตย์ นักเขียนออนไลน์ประจำ DDproperty.com หากมีคำถามเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่ chetapol@ddproperty.com

วันพฤหัสบดีที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2557

คำสอนหลวงพ่อชา สุภัทโท

คำสอนหลวงพ่อชา สุภัทโท


โยม ไม้อันที่อาตมาถืออยู่นี่นะ มันสั้นหรือว่ามันยาว?

โยม ไม้อันนี้ธรรมชาติแท้ ๆ ของมันมีแค่นี้ เท่านี้ มันไม่สั้น และก็ไม่ยาว

โยม ความต้องการที่จะให้ไม้นี้มันสั้นเข้า หรือยาวออก นั่นแหละ ทุกข์

ทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าเรายอมตามธรรมชาติที่มันเป็นอยู่ ยอมที่ไหน ทุกข์ก็ไม่เกิดที่นั่น สมมุติว่าวันนี้ โยมหาเงินได้ ๑๐๐ บาท ธรรมชาติของมันแค่ ๑๐๐ บาท จะอยากให้ได้มากกว่านั้นก็ไม่ได้ จะอยากให้ได้น้อยกว่านั้นก็ไม่ได้ หาได้ ๕๐ บาท ธรรมชาติของเขาก็แค่นั้น หาไม่ได้เลย ธรรมชาติของมันก็เท่ากับหาไม่ได้เลย ยอมตามธรรมชาติที่มันเป็นทุกอย่าง ทุกแห่ง ทุกข์ก็ไม่เกิด ธรรมะอย่างนี้ปฏิบัติที่ไหนก็ได้ เวลาใดก็ได้ ใคร ๆ ก็ปฏิบัติได้ ปฏิบัติเมื่อไหร่ ที่ไหน ทุกข์ก็ไม่เกิดเมื่อนั้น ที่นั่น

โยม อีกอย่างหนึ่ง สมมุติว่าถ้าเราจะปลูกต้นไม้ อันดับแรก เราต้องเตรียมดินให้ดี ขุดหลุมกว้างเมตร ลึกเมตร คลุกดินด้วยปุ๋ยคอกดย่างดี แล้วจึงปลูกต้นไม้ลงไป เมื่อปลูกแล้ว เราต้องคอยดูแล โดยหมั่นรดน้ำ พรวนดิน ดายหญ้า และล้อมรั้วกันอันตรายให้ หน้าที่ของเรามีเพียงแค่นี้ ทำให้ครบ ทำให้ดีที่สุด ส่วนผลที่ต้นไม้จะให้นั้น บางชนิด ๑ ปีให้ผล บางชนิด ๓ ปี ๕ ปี ๑๐ ปี นั่นเป็นเรื่องของเขา เป็นเรื่องของต้นไม้เขาเอง

โยม อย่าลืมนะ หน้าที่ของเรานั้น ทำเหตุให้ดีที่สุดเท่านั้น ส่วนผลที่จะได้รับเป็นเรื่องของเขา ถ้าเราดำเนินชีวิต โดยมีการปล่อยวางเช่นนี้แล้ว ทุกข์ก็ไม่รุมล้อมเรา ธรรมะอย่างนี้ใคร ๆ ก็ปฏิบัติได้ ปฏิบัติที่ไหนก็ได้ ปฏิบัติเมื่อไรก็ได้

อโหสิกรรม

ชาติที่แล้วเราไปผูกมัดใครไว้บ้างหรือเปล่า 

 "หากมีผู้ใดเคยสร้างเวรสร้างกรรมกับข้าพเจ้า ไม่ว่าจะชาติใดภพใดก็ตาม ข้าพเจ้ายินดีอโหสิกรรมให้ ขอถอนความพยาบาท ความอาฆาต และคำสาปแช่งในทุกชาติทุกภพ ขอให้ข้าพเจ้าพ้นจากคำสาปแช่งของปวงชนของเจ้ากรรมนายเวร " 
คนเราเกิดมาหลายภพหลายชาติ แต่ละคนมีเจ้ากรรมนายเวรที่แตกต่างกัน การสวดขอขมาเพื่อลดและปลดหนี้กรรมให้น้อยลง คาถาบทนี้เป็นคาถาที่ใช้สำหรับขอขมาพระรัตนตรัย และใช้เพื่อถอนคำสาปแช่ง ในอดีตชาติที่ติดตามมา เพราะเราไม่รู้ว่าเคยได้ล่วงเกินปรามาสใครไปบ้างก็ไม่รู้ ไม่เว้นแม้กระทั้งพระพุทธองค์ พระอรหันต์ พ่อ แม่ เป็นต้น เพราะบางคนทำการใดๆ มักมีอุปสรรค หรือมักมีคนไม่ชอบหน้า

  คาถาของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี
ตั้งนะโม ๓ จบ 
   
          "ชินะปัญชะระ ปะริตตังมัง รักขะตุ สัพพะทา"

 หรือ  "วิญญาณสัมปันโน อิติปิโส ภะคะวา นะโมพุทธายะ"   ๙ จบ

 (ขอพระอนันตชินเจ้าในบัญชรแวดวงกงล้อม พระโมรปริตรและพระขันธปริตร อรหันต์เจ้า จงคุ้มครองรักษาข้าพ.......เจ้าให้พ้นจากภยันตรายสรรพสิ่งทั้งปวง ตลอดเวลาทุกเมื่อ)