วันจันทร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

โรคกรดไหลย้อน ท้องอืด น้ำกะเพราช่วยท่านได้


เขาว่ามาก็ว่าไป
โรคกรดไหลย้อน ท้องอืด น้ำกะเพราช่วยท่านได้

สาเหตุที่ผมเป็นโรคท้องอืด  กรดไหลย้อนและจุกเสียดในลำไส้ 
 ผมคิดว่าเพราะเกิดจาก  ช่วงก่อนหน้านี้หลายเดือน
ผมทานยาคลายกล้ามเนื้อไป  รวมประมาณ 30 แผงได้
(การทานยาคลายกล้ามเนื้อ คงทำให้ผนังกระเพาะอาหารบางลง)
และในวันที่เป็นโรคท้องอืดนั้น   ผมจำได้ว่า ยังทานยาคลายกล้ามเนื้ออยู่
วันที่ท้องอืดนั้น  ผมสอนหนังสืออยู่  ผู้ปกครองเขาเลยซื้อกาแฟปรุงสำเร็จมาให้ 
 ตอนนั้นก็จะง่วงอยู่แล้ว  (ง่วงจากการทานยาคลายกล้ามเนื้อ)  ผมเลยดื่มกาแฟเข้าไป
  ดื่มไปแล้ว  รู้สึกว่ามันเข้มข้นมาก และในตอนนั้นก็เป็นเวลา 10.00 น. ซึ่งท้องผมว่างอยู่ 
 (ดื่มกาแฟตอนท้องว่างเข้าไป เลยทำให้กระเพาะอาหารบวม แดงนี่เอง) ทำให้ผมท้องอืดขึ้นมา 
 ปวดท้องและท้องร้องป๊อกๆๆ หลังจากรับประทานอาหารกลางวันเสร็จในวันนั้นทันที 
 และในตอนเย็นวันนั้น ผมไปซื้อยาบรรเทาอาการท้องอืดมาทาน  แถมด้วยยาก่อนอาหารช่วยให้
ลำไส้เคลื่อนตัว แต่ทานยาไปแล้วอาการก็ยังไม่ดีขึ้น
ผมท้องอืดไปได้ประมาณ วัน พยายามทานผักเพิ่มเข้าไปก็แล้ว ทานยาเคมีสังเคราะห์ต่างๆ เช่น
 ยาเม็ดช่วยย่อยอาหาร ยาก่อนอาหารช่วยให้ลำไส้เคลื่อนตัว ยาเม็ดเคี้ยวลดอาการท้องอืด จุก เสียดท้อง
 อาการก็ยังไม่ทุเลา  เลยโทรไปหาเพื่อนที่เรียนธรรมะด้วยกัน เขาก็ให้สูตรน้ำกะเพรามา 
(สูตรน้ำกะเพรานี้ ได้มาจาก นพ.เปี่ยมโชค  ชลิดาพงศ์)
พอได้สูตรน้ำกะเพรา วันนั้นกลับบ้านดึก ตัดสินใจรีบไปซื้อกะเพราที่ห้างคาร์ฟูร์ตอน 21.30 น.
 กลับถึงบ้าน ประมาณ 22.00น. รีบต้มน้ำกะเพราตามสูตร แต่ยังไม่ดื่ม
พอเอนตัวลงนอน สังเกตกระเพาะ ท้องร้องป๊อกๆๆๆๆ ทันที  เลยดื่มน้ำกะเพราไป
 ปรากฏว่าไม่เกิน 10 - 15 นาที     เรอเต็มๆ 1ที แถมผายลม (ตด) แรงๆนานๆ (ประมาณ วินาทีได้)
 อีก ที  พอเอนตัวลงนอนท้องหายร้องป๊อกๆๆๆๆๆแล้วครับ โดยไม่ต้องทานยาเคมีเข้าช่วยเลย 
 ลองดื่มดูนะครับ
ตอนนี้ ผมหายป่วยจากโรคท้องอืด โรคกรดไหลย้อนแล้ว ตัวผมเองหายป่วยจากโรคนี้ภายใน เดือน
 และระหว่างที่ผมดื่มน้ำกะเพรานี้ ผมไม่ได้ทานยาเคมีสังเคราะ ห์เลยสักเม็ดเดียว   ปัจจุบันนี้  
ผมก็ไม่เป็นโรคนี้แล้ว  เพราะว่าพยายามรับประทานอาหารอย่างเคร่งครัด และ
 ผมจะไม่ทานยาคลายกล้ามเนื้ออีกต่อไป
ที่จริง ผมคิดว่า ผมน่าจะหายจากโรคท้องอืด กรดไหลย้อนนี้ภายใน 10 - 15 วัน แต่พอดีว่า 
มีอยู่วันหนึ่งที่คิดว่าจะหายจากโรคนี้สนิทนั้นแหละ (ปร ะมาณวันที่ 11 - 12)
 ผมได้ทานอาหารรสเผ็ดจัด ทำให้วันนั้นเกิดอาการท้องอืด อาหารไม่ย่อย  ท้องร้องป๊อกๆๆๆ  
มีอาการรุนแรง เหมือนตอนเริ่มท้องอืดใหม่ๆ ขึ้นอีกครั้ง (จะหายแล้ว แต่ดันไปทานอาหารไม่เหมาะ 
 ทำให้เป็นโรคขึ้นมาใหม่)
อาการเตือนเบื้องต้นก่อนจะเป็นโรคท้องอืด (สังเกตจากตัวผมเอง) 
1. มีอาการเรอหลังรับประทานอาหารเสร็จใหม่ๆ และเริ่มเหม็นเปรี้ยวขึ้นเรื่อยๆ 
2. ไม่มีการผายลมมาหลายวัน 
3. เริ่มรู้สึกปวดท้องเล็กๆน้อยๆ หลังจากกินอาหารเสร็จ 
สูตรนี้ได้มาจาก นพ.เปี่ยมโชค  ชลิดาพงศ์  (ซึ่งผมฟังต่อๆกันมาจากเพื่อนๆในมูลนิธิอีกที) 

วิธีทำน้ำกะเพรา 
1. นำกะเพรา กำ (ทั้งลำต้นและใบ) ประมาณ ขีด มาล้างให้สะอาดด้วยน้ำจุลินทรีย์ EM 
(ของโยเร แช่ ช.ม.) หรือน้ำยาล้างผักเพื่อล้างยาฆ่าแมลงออก 
2. ใส่น้ำ 2 - 3 ลิตรลงในหม้อ นำกะเพราใส่ลงไปทั้งหมด 
3. ปิดฝาหม้อ ใช้ไฟปานกลางค่อนข้างอ่อน ต้มประมาณ 15 - 20 นาที
 พอน้ำเดือดปุ๊บให้ปิดแก๊สทันที 
4. ดื่มหลังอาหาร แก้ว 250 ml  (อ่านตรง ปล. ต่อ) 
5. ถ้าน้ำกะเพราเย็นลงหรือ ดื่มไม่หมด ไม่ต้องอุ่นหรือต้มซ้ำ ให้แช่เย็นไว้ดื่ม 
ปล. 1. ถ้าใช้กะเพราแดงจะได้ผลดีกว่า 
       2. จำไว้ว่า กะเพราเป็นสมุนไพรธาตุร้อน ถ้าดื่มน้ำกะเพราไปแล้วเกิดอาการร้อนใน
 ให้ลดปริมาณน้ำกะเพราลง 
 3. อาการหนักประมาณ 6 - 7 แก้ว และหลังจากวันแรกที่ดื่ม ถ้าอาการทุเลาให้ลดปริมาณน้ำ
กะเพราลง  ดื่มเฉพาะหลังอาหาร มื้อละ 1 -  2  แก้ว แต่ไม่ควรเกิน แก้วต่อวัน 
       4. ยาสมุนไพรไทย ใช้เวลารักษานานถึงจะหาย ต้องกินเป็นประจำสม่ำเสมอ 
โดยไม่ต้องทานยาเคมีสังเคราะห์เข้าช่วยเลย
ประโยชน์ของกะเพรา 
          กะเพราช่วยขับลม  เป็น Buffer ปรับสมดุลกรดในกระเพาะอาหาร ช่วยเร่งการย่อยอาหาร
 ได้ผลดีเยี่ยมกับคนที่เป็นโรคลำไส้เล็ก เช่น จุกเสียดในลำไส้เล็ก 
(โรคนี้เวลาเป็นเหมือนถูกแทงด้วยหลาว นั่งอยู่ดีๆก็เจ็บเหมือนถูกแทง หรือถูกต่อย) 
 การดูแลตนเองสำหรับผู้ที่มีอาการท้องอืด จุก เสียด แน่นเฟ้อ และกรดไหลย้อน
 (ข้อมูลนี้ได้มาจากประสบการณ์ของผู้ป่วย) 
1.     รับประทานแต่อาหารที่มีประโยชน์ ไม่ทานลูกอมรสต่างๆ เช่น รสเปรี้ยว 
            ที่ผสมสารสังเคราะห์ 
2.     ไม่รับประทานอาหารที่มีรสเผ็ดและเปรี้ยว แม้เพียงเล็กน้อย (ข้อนี้สำคัญ) 
3.     ไม่รับประทานอาหารมัน และของหมักดอง เช่น ผลไม้ดองต่างๆ (ข้อนี้สำคัญ) 
4.     ไม่ควรรับประทานอาหารรสหวาน ที่มีน้ำตาลปริมาณมาก เช่น ขนมหวาน, น้ำหวาน, น้ำอัดลม 
5.     งดดื่มเหล้า และสูบบุหรี่ ชาและกาแฟก็ควรงด
6.    ไม่รับประทานอาหารประเภทเนื้อสัตว์เป็นจำนวนมาก ควรทานเนื้อปลา หรือถั่ว (ข้อนี้สำคัญ) 
7.    ควรรับประทานผัก และผลไม้ทุกมื้อ เพื่อให้มีการขับถ่าย ไล่ลมออก  จุลินทรีย์ได้ทำงาน (ข้อนี้สำคัญ) 
8.    ไม่ควรรับประทานผลไม้ประเภทย่อยยาก เช่น ฝรั่ง, มะม่วง 
9.    ควรทานผลไม้ประเภทย่อยง่าย และมีกากใยสูง ผลไม้ที่แนะนำ เช่น ส้ม ชมพู่ แตงไทย แคนตาลูป 
10.   เคี้ยวอาหารให้ละเอียด ประมาณ 100-200 ครั้งต่อ 1 คำ (ข้อนี้ช่วยได้มาก) 
11.   ไม่รับประทานอาหารจนเต็มกระเพาะอาหาร (ข้อนี้สำคัญเช่นกัน) 
12.   ใช้เวลารับประทานอาหารในแต่ละมื้อประมาณ ครึ่ง - หนึ่งชั่วโมง 
13.   หลังรับประทานอาหารเสร็จ ให้ดื่มน้ำเปล่าแต่น้อย  หลังจากนั้นอีกประมาณ 
ครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมงให้ดื่มน้ำกะเพรา เพราะน้ำกะเพราจะช่วยขับลม และช่วยเร่งการย่อยอาหาร 
14.   แกว่งแขน หลังรับประทานอาหารเสร็จในแต่ละมื้อ ช่วยให้กระเพาะอาหารและลำไส้มีการเคลื่อนไหว 
15.   ตอนเย็นให้รับประทานอาหารย่อยง่ายๆเท่านั้น เช่น โจ๊ก, ข้าวต้ม (ข้อนี้สำคัญมากๆเช่นกัน) 
16.   ควรดื่มยาคูลย์ (วันละ 1 ขวด หลังอาหารเช้า) หรืออาหารเสริมประเภทเพิ่มจุลินทรีย์ในลำไส้ 
17.   ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เช่น วิ่งทุกเช้า หรือวิ่งในช่วงเย็น เพื่อให้ลำไส้มีการเคลื่อนไหว (ข้อนี้สำคัญ) 
18.   อดทนในเรื่องไม่ทานอาหารจุกจิก ไม่เป็นเวลา ไม่เป็นมื้อ (ข้อนี้สำคัญเช่นกัน) 
19.   ท่องไว้ในใจเสมอว่า การไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ”  มีเงินทำไม  ถ้าไม่ได้ใช้เงินให้เกิดประโยชน์ 

ถ้าเป็นโรค ใช้เวลาและเงินดูแล - ซื้อสุขภาพจะดีกว่า เช่น ออกกำลังกาย
  ทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ ก็เพียงพอแล้ว

ออกกำลังกายตอนไหนดี?


เขาว่ามา ก็ว่าไป


  เมื่อก่อนผมชอบออกวิ่งในเวลาตีห้าบ่อยๆครับ แต่เมื่อได้อ่านบทความนี้จึง

ทำให้รู้ว่า การออกกำลังกายเวลาไหนและวิธีที่ถูกต้องเป็นอย่างไรครับ

จึงขอนำเสนอเพื่อจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆได้บ้างไม่มากก็น้อยครับ

    ออกกำลังกายตอนเช้าหรือตอนเย็นดี ??
สมมุติว่า  ตัวเราเป็นรถยนต์  เครื่องยนต์ของเราคือกล้าม เนื้อ  แขน  ขา  ที่จะทำให้เราเคลื่อนไหวไปไหนมาไหนได้ รถยนต์ต้องการน้ำมันเพื่อให้เครื่องยนต์ทำงาน  คนเราก็ต้องการอาหารเป็น พลังงานให้ร่างกาย เคลื่อนไหว ไปไหนมาไหนได้ โดยเฉพาะใช้ออกกำลังกาย
ตื่นนอนเช้ารถยนต์และร่างกายเรา ไม่มีน้ำมัน ไม่มีพลังงานจำเป็นต้องเติมน้ำมันก่อน  หรือกินอาหารก่อน  รถยนต์จะได้มี พลังงานวิ่งไปได้  คนเราจะได้มีพลังงานให้กล้ามเนื้อแขน ขา ทำให้เราไปไหนมาไหนได้
รถยนต์ต่างกับร่างกายเรา  ตรงที่พอเติมน้ำมันเต็มถังแล้ว สามารถขับรถไปได้ทันที แต่คนเราหลังกินอาหารอิ่มเต็มที่ยังไปออกกำลังกายไม่ได้  เพราะหลังกินอาหาร 2 ช.ม. จะมีเลือดมารอรับอาหารที่จะถูกย่อยที่กระเพาะและลำไส้เป็นจำนวนมากหลังจาก อาหารถูกดูดซึมเข้ามาในเลือดแล้ว   เลือดจะพาสารอาหารแจกจ่ายไปยังอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย ถ้าออกกำลังกายหนัก ๆ ตอนนี้ เช่น วิ่งออกกำลังซึ่งต้องการเลือดมาเลี้ยงที่ขาที่ใช้วิ่ง 20 เท่าตัวของสภาวะปกติ  เมื่อเลือดมากองอยู่ที่กระเพาะเป็นจำนวนมาก บวกกับมาเลี้ยงที่ขาอีก 20 เท่าดังกล่าว  ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ  ทำให้หน้ามืดเป็นลม  หรือถ้าทำ ให้เลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจไม่เพียงพอ  เท่ากับกล้ามเนื้อหัวใจขาด เลือดเป็นสาเหตุให้กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน  ถึงชีวิตได้ จึงห้ามเด็ดขาด  ห้ามออกกำลังหลังกินอาหาร 2 ช.ม.  เมื่ออาหารย่อยหมดแล้ว ดูดซึมเข้าเลือดหมดแล้ว (2 ช.ม.)  เลือดที่มารออยู่ที่กระเพาะก็จะกระจายไปหมด  ถึงตอนนี้จะวิ่งก็ ปลอดภัย

 
        คนตื่นนอนตอนเช้า แล้วมาออกกำลัง เพราะตอนเช้าอากาศสดชื่น  มลพิษก็น้อย อากาศเย็น  ร่างกายยังสดชื่นเพราะได้พักมาทั้งคืน  แต่คงไม่มีใครกินอาหาร ก่อนออกกำลังแน่  เท่ากับรถยนต์ไม่ได้เติมน้ำมันรถยนต์จะวิ่งได้อย่าง ไร  แต่คนออกกำลังกายได้โดยไม่ต้องกินอาหาร  เพราะตอนเย็นกินอาหารเสร็จเข้า นอน  ไม่ได้ใช้พลังงานขณะที่นอนหลับ   ตับจะปรับเปลี่ยนสารอาหาร เช่น น้ำตาลเปลี่ยนเป็นไกลโคเจน  ไตรกรีเซอร์ไรด์  ไขมันเปลี่ยนเป็นกรด ไขมัน  โปรตีนเปลี่ยนเป็นฟอสฟาเจน เป็นต้น  แล้วนำไปเก็บไว้ในอวัยวะต่าง ๆ  เมื่อตื่นนอนจึงไม่มีพลังงานหลงเหลืออยู่ในเลือด    เท่ากับรถยนต์น้ำมัน แห้งถัง  สภาพนี้คนออกกำลังได้โดยตับจะดึงสารอาหารที่ปรับเปลี่ยนไปเก็บไว้ ในที่ต่าง ๆ  ตอนนอนหลับ  ให้กลับเป็นสารพลังงานในเลือดใหม่  จึงสามารถออกกำลังกาย ได้  มาลองคิดดู  ตอนนอนตับทำงานหนักมาก เพื่อเอาสารอาหารไปเก็บ  ตื่นตอนเช้าไปออกกำลังกายทันที  ตับต้องดึงสาร อาหารที่เอาไปเก็บไว้เมื่อคืน ออกมาใช้ใหม่  ทำอย่างนี้บ่อย ๆ  ทุกวัน ๆ  ตับจะต้องทำงานหนักแค่ไหน  จะทนสภาพนี้ได้นานเท่าไร  เพราะไม่ได้พัก เลย  เหมือนคนกินเหล้าแล้วไม่กินอาหาร  ตับต้องไปดึงสารอาหารจากที่ต่าง ๆ  มาให้แอลกอฮอลเผาผลาญ  มาก ๆ เข้านาน ๆ เข้า  ในตับมีแต่ไขมัน  กลายเป็นตับแข็ง
 
     ถ้าจะทำให้ถูกต้องก็ต้องกินอาหารเสียก่อน  แต่ต้องรอถึง 2 ช.ม.  จึงจะไปออกกำลังได้ เช่น กินอาหาร ตี 5  เจ็ดโมงเช้าจึงจะออกกำลังกายได้  จะมีใครทำอย่างนี้บ้าง  ฉะนั้น ฝรั่งจึงมีแต่คำว่า morning walk  ไม่เคยได้ยิน morning jogging เลย  นั่นคือออกกำลังกายเบา ๆ ได้ เช่น เดิน  ก่อนเดินก็กินอาหารเบา ๆ เช่น แซนวิช  1 ชิ้น  กับโอวันติน 1 ถ้วย  ซึ่งจะใช้เวลาย่อยอาหารสัก 1/2  -  1 ช.ม.  ก็พอ  ก็จะไปเดินออกกำลังกายได้  กินเล็กน้อยออกกำลังกายเบา ๆ  ก็ใช้พลังงานน้อย  ที่กินมาแค่นี้ก็พอไหว


ลองพิจารณาการออกกำลัง ตอนเย็นบ้าง  เรากินอาหารเช้า  อาหารกลางวัน  ตกเย็นรับรองว่าพลังงานยัง เหลือเฟือ  ขณะทำงานใช้ไปไม่หมด  สามารถออกกำลังกายได้เลย  เหมือนกับรถ ยนต์  น้ำมันยังไม่แห้งถัง  แต่จะให้ดีอาจเติมอาหารเหมือนตอนเช้าอีกสักเล็ก น้อย  ก่อนไปออกกำลัง จะทำให้ไม่รู้สึกระโหย  ความจริงไม่ต้องไปกินอะไรเลยก็ได้   ข้อสำคัญ  เมื่อออกกำลังตอนเย็นเสร็จแล้ว  ให้ดื่มน้ำโดยค่อย ๆ ดื่มจนรู้สึกอิ่ม  กลับถึงบ้านท่านจะไม่รู้สึกหิวและไม่อยากกินอะไรอีก และหลังออกกำลังกายตอนเย็นนี้แล้ว  เมื่อถึงเวลาเข้านอน  จะเหลือสารอาหาร น้อยที่สุด  ตับไม่ต้องทำงานมาก สารอาหารไม่มีไปเก็บตามที่ต่าง ๆ  จึงไม่ทำให้อ้วน  และไม่มีสารอาหารเหลือค้างในหลอดเลือดโดยเฉพาะ ไขมัน  จึงเป็นวิธีที่จะลดไขมันในเลือดได้ดีที่สุดโดยไม่ต้องกินยา

ถ้าพิจารณาตรงนี้ ออกกำลังกายตอนเช้า หรือตอนเย็นจะเป็นการออกกำลังที่ทำให้สุขภาพทั่ว ๆ ไปดี (แอโรบิก) เท่า ๆ กันทั้งคู่  แต่การออกกำลังกายตอนเย็นโดยไม่ไปกินอาหารภายหลัง ยังจะช่วยให้สารอาหารที่เหลือจากการกินตอนเช้าและตอนเที่ยง น้อยลงจนไม่สามารถทำร้ายร่างกายได้ด้วย การออกกำลังกายตอนเย็นจึงได้ 2 ต่อ
จากงานวิจัยต่างประเทศ  เร็ว ๆ นี้  พบว่า การออกกำลังกายตอนเช้านั้น จะทำให้ภูมิต้านทานในร่างกายลดลง  และการออกกำลังกายตอนเย็น จะทำให้ภูมิต้านทานในร่างกายเพิ่มขึ้น  ดูในแง่นี้ถ้าไข้หวัดระบาด  การออก กำลังกายตอนเย็นจะได้ 3 ต่อ  มีกรณีเดียวที่ออกกำลังกายตอนเช้าได้ประโยชน์คือ พวกที่มีภูมิต้านทานมากไป  เช่นโรคภูมิแพ้ได้แก่ หอบหืด  แพ้อากาศ  แพ้ฝุ่น  หรือโรคพุ่มพวงดวงจันทร์  ออกกำลังกายตอนเช้า ช่วยลดภูมิต้านทาน จึงเท่ากับช่วยให้คน ๆ นั้น กินยาลดภูมิต้านทานน้อยลงได้
สรุปมาถึงแค่นี้ ท่านคงทราบแล้วนะครับว่า ออกกำลังกายตอนเช้าหรือตอนเย็นดี

มีข้อเสนอ อีกข้อหนึ่งคือออกกำลังกายแบบแอโรบิกก่อนนอน เช่น เดินบนสายพาน  หรือขี่จักรยาน  30 นาที – 60 นาที  ไม่ต้องกลัวว่าจะนอนไม่หลับ เพราะการออกกำลังกายแบบแอโรบิก 30 นาที ขึ้นไปนี้ ร่างกายจะหลั่ง เอนดอร์ฟีนออกมาซึ่งมีฤทธิ์คล้าย ๆ มอร์ฟีน ที่ใช้ฉีดให้คนไข้หลังผ่าตัด  จะทำให้ง่วงนอนคลายความเจ็บปวด  คลาย เครียด  ฉะนั้น  ออกกำลังกายเสร็จ  อาบน้ำแล้ว เข้านอนเลย  ท่านจะนอนหลับสนิทชนิดไม่ฝัน  การนอนหลับสนิทนี้ท่านต้องการ การนอนเพียง 5 ช.ม.  ก็เพียงพอ  จะทราบได้คือตอนทำงานกลางวัน จะไม่เพลีย  ไม่ง่วง  แสดงว่านอนหลับสนิท 5 ช.ม. เพียงพอแล้ว  นอกจากนี้มีงานวิจัยใหม่ ๆ ออกมาพบว่า คนนอน 5 ช.ม. มีอุบัติการ โรคเส้นเลือดหัวใจอุดตันน้อยกว่าพวกนอน 7-8 ช.ม.
         ฉะนั้น  การออกกำลังกายตอนเย็นหรือก่อนนอน  ดีกว่าออกกำลังกายตอนเช้า


บทความจากสภากาชาดไทย : 
โดย ศาสตราจารย์กิตติคุณ นายแพทย์เสก อักษรานุเคราะห์ ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู สภาการชาดไทย

วันอาทิตย์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

น้ำผึ้งใช้อะไรได้มากกว่าที่คิด

ตารางประโยชน์ของน้ำผึ้งในการสร้างเสริมสุขภาพและรักษาโรคต่างๆ 
โรค                                                                 ปริมาณและวิธีใช้ 
    
1. บำรุงสุขภาพ  
                       น้ำผึ้ง ช้อนโต๊ะผสมน้ำอุ่นดื่มทุกวัน 
2. อดนอน                                                   น้ำผึ้ง 1-2 ช้อนโต๊ะ หรือผสมน้ำผลไม้
 
3. ยาอายุวัฒนะ                                        น้ำผึ้ง
½ -1 ช้อนโต๊ะ ดื่มทุกวัน เช้า / ก่อนนอน 
4. นอนไม่หลับ                                          น้ำผึ้ง 1ช้อนโต๊ะดื่มเวลาอาหารเย็นหรือก่อนนอน
 
5
.ไอ หลอดลมอักเสบมีเสมหะ              กระเทียม 1-2 กลีบ (ตำให้ละเอียด) น้ำมะนาว ½ เกลือเล็กน้อย พิมเสนหรือการบูร2-3 เกล็ด น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ
6. ท้องอืด ท้องเฟ้อ                                   น้ำผึ้ง 
½ ช้อนโต๊ะน้ำขิงเข้มข้น ½ ถ้วย เกลือเล็กน้อยดื่มวันล่ะ เวลาหลังอาหาร 
7. ท้องผูก                                                   น้ำผึ้ง ช้อนโต๊ะดื่มก่อนนอน
 
8. เด็กปัสสาวะรดที่นอน                         น้ำผึ้ง ช้อนชา (ไม่ผสมน้ำ) ดื่มก่อนนอน
 
9. ท้องเสียรุนแรง                                      น้ำผึ้ง 1-2 ช้อนโต๊ะ เกลือ 
½  ช้อนชา ผสมน้ำอุ่น 1แก้ว 
10. เด็กหวะนม                                          น้ำผึ้ง 
½ -1 ช้อนโต๊ะ ผสมนมให้เด็กดื่ม 
11. กล้ามเนื้อเป็นตะคริว                         น้ำผึ้ง ช้อนชา ดื่มทุกเมื่ออาหาร
 
12. ล้างแผล แผล ฝี หนอง แผลเรื่อรัง      น้ำผึ้ง ส่วน ผสมน้ำ ส่วนชะล้างแผล  หัวหอมแดง หัวตำให้ละเอียด+น้ำผึ้งพอกฝี น้ำสุกที่  เย็นแล้วล้างแผลให้สะอาด ใช้สำลีหรือผ้าพันแผลชุบน้ำผึ้งปิดบริเวณแผล
 
13. แผลไฟไหมน้ำร้อนลวก ถูกท่อไอเสีย        ใช้ผ้าพันแผลชุบน้ำผึ้งปิดแผลไว้แล้วเปลี่ยนผ้าพันแผลทุก 12 ชั่วโมง
 
14. โรคกระเพาะ                                       ดื่มน้ำผึ้ง 2-3 ช้อนโต๊ะขณะปวด และ ช้อนโต๊ะก่อนนอน
 
15. ผู้ป่วยด้วยโรคพิษสุรา(ตับแข็ง/โรคตับ)     น้ำผึ้ง ช้อนโต๊ะผสมน้ำ 
½ ถ้วยแก้ว ดื่มวันละครั้งเป็นประจำ คอเหล้าดื่มน้ำผึ้ง 1-2 ช้อนโต๊ะก่อนนอน 
16. ผู้ป่วยริดสีดวงทวาร                           น้ำผึ้งผสมกระเทียมโทน บริโภควันละ ครั้งหลังอาหาร
 
17. เด็กโตช้า และโลหิตจาง                    น้ำผึ้งผสมนมดื่มเป็นประจำ
 
18. เสียน้ำหรือเสียเลือด(10-20
%)        น้ำ ถ้วยแก้วผสมเกลือ ¼ ช้อนชา น้ำผึ้ง ช้อนโต๊ะ 
19. โรคเด็ก (ทางเดินอาหารผิดปกติ)    น้ำผึ้ง ช้อนชาต่อน้ำ 1ถ้วย
 
 

เหตุผลที่คนเราอายุ20ปีแรกจึงสนุกสนานกัน


ในวันแรกที่พระเจ้าสร้างโลก พระเจ้าได้สร้างวัวขึ้นคู่หนึ่ง และบอกกับวัวว่า   

  ' วันนี้เราได้สร้างเจ้าขึ้นในฐานะของวัว เพื่อทำงานหนักกลางทุ่งนา ท่ามกลางแสงแดดจ้าทั้งวัน แล้วเราจะให้เจ้ามีชีวิตยืนยาว 50 ปี'     วัวย้อนกลับว่า ' ชีวิตที่ยากลำบากเช่นนี้ จะให้มีอายุยาวถึง 50 ปี น่ะหรือ ? ฮึ! เมินเสียเถอะ ขอแค่มีอายุเพียง 20 ปี ก็พอแล้วล่ะ เอาคืนไปเลย 30 ปี ถ้าได้ก็โอเค'  
    และพระเจ้าตอบตกลง     วันต่อมาพระเจ้าสร้างสุนัขขึ้น และบอกกับมันว่า 'เราสร้างเจ้าขึ้นในฐานะของสุนัข หน้าที่ของเจ้าคือ   นั่งอยู่ที่ประตูบ้านและเห่าเมื่อมีคนเข้ามา แล้วเราจะให้เจ้ามีอายุยืนถึง  20 ปี'  
   สุนัขได้ฟังก็พูดขึ้นว่า 'นั่งเฝ้าหน้าประตูบ้าน 20 ปี! ช่างเป็นชีวิตที่น่าเบื่ออะไรเช่นนี้ ขอคืนชีวิต 10  ปี ก็แล้วกัน'
   พระเจ้าตอบตกลง   วันต่อมาพระเจ้าสร้างลิงขึ้น และบอกกับลิงว่า 'เราสร้างเจ้าขึ้นในฐานะของลิง หน้าที่ของเจ้าคือ สร้างความสนุกสนาน และใช้เล่ห์เหลี่ยมของลิงหลอกล่อคนอื่นให้หัวเราะ   แล้วเราจะให้เจ้ามีอายุยืน ! 20 ปี'
    ลิงได้ฟังจึงตอบว่า ' อะไรนะ..ทำให้คนอื่นหัวเราะ ทำหน้าลิงและเล่ห์กลต่างๆ   ตั้ง 20 ปี น่ะเหรอ ? ไม่เอาด้วยหรอก ขอคืนชีวิตไป 10 ปี เหลือแค่ 10 ปี ก็แล้วกัน'  
 พระเจ้าตอบตกลง     วันต่อมาพระเจ้าสร้างมนุษย์ขึ้น และบอกว่า 'เราสร้างเจ้าขึ้นในฐานะที่เป็นมนุษย์ หน้าที่ของเจ้าคือ กิน นอน เที่ยว   เล่นสนุกสนาน โดยไม่ต้องทำงานใดๆ เราจะให้เจ้ามีชีวิต 20 ปี'
 มนุษย์ได้ฟังก็ต่อรองว่า  ' ชีวิตที่สบายเช่นนี้ แล้วท่านจะให้เรามีชีวิตแค่ 20 ปี น่ะเหรอ เอาอย่างนี้ดีกว่าเราขอชีวิตที่วัวคืนชีวิตให้ท่าน 30 ปี สุนัข 10 ปี   และลิง 10 ปี มาเป็นของเรา เพื่อให้เรามีอายุยืนถึง 70 ปี ตกลงไหม ?' 
 พระเจ้าตอบตกลง  
นั่นเป็นเหตุผลว่า...  ทำไมชีวิตของเราในช่วง 20 ปีแรก จึงเต็มไปด้วยความสนุกสนาน กิน นอน เล่น และไม่ต้องทำอะไรมากมาย  
         30 ปีต่อมา ต้องทำงานหนักทั้งวัน เพื่อสร้างครอบครัว  
         10 ปีต่อมา เกษียณอยู่ที่บ้าน เฝ้าหน้าบ้าน และตะคอกคนที่ผ่านไปมา  
         10 ปีต่อมา เป็นปู่/ย่า ตา/ยาย ที่ต้อง! ทำหน้าลิง และเล่ห์กลต่างๆ เพื่อหลอกล่อหลาน!
  อ่านจบแล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาเป็นวัวกันต่อไปนะพี่น้อง 

จะทำอย่างไรดี?


๑. กลัวลูกมีเซ็กส์ในวัยเรียน?
ไม่อยากให้เกิด ต้องเอาปัญญาใส่ในมือลูก
ให้เงินลูกน้อยๆ ให้ความรู้แก่ลูกมากๆ ด่าลูกน้อยๆ ให้คำสอนลูกมากๆ
 
๒. ไหว้พระขอพรอะไรดี?
(๑) ขออย่าให้โลภจนหน้ามืด
(๒) ขออย่าให้โกรธจนทำร้ายตัวเอง
(๓) ขออย่าให้หลงจนไม่รู้ดีรู้ชั่ว
(๔) ขออย่าให้ตายในสงครามระหว่างคนไทยด้วยกันเอง
 
๓. ท้อแท้กับปัญหามากมายทำอย่างไรดี?
ปลาที่ยังเป็นอยู่ ล้วนเรียนรู้ที่จะว่ายทวนน้ำ
ส่วนปลาตาย มักไหลตามน้ำ
ปัญหาทำให้คนธรรมดาท้อ แต่ทำให้คนมีปัญญาลุกขึ้นมาแก้ไข
 
๔. ทะเลาะกับแฟนจนไม่มีสมาธิทำงาน?
งานส่วนงาน แฟนส่วนแฟน
รู้จักแบ่งเวลาให้งาน รู้จักแบ่งเวลาให้แฟน
อย่าเสียงานเพราะแฟน อย่าเสียแฟนเพราะงาน
 
๕. โกรธ! ถูกเพื่อนนินทา?
โบราณว่าไม่มีใครเตะหมาที่ตายแล้ว
คุณถูกนินทาแสดงว่าคุณยังมีความหมาย
คุณเป็นคนโชคดี จู่ๆ ก็มีกระจกวิเศษสะท้อนความอัปลักษณ์
ให้เห็นความบกพร่องของตัวเอง
 
๖. จับได้ว่าแฟนมีกิ๊กทำอย่างไรดี?
(๑) ถามตัวเองว่าเราดีกับเขาพอหรือยัง
(๒) ระหว่างเรากับกิ๊กมีข้อดีข้อด้อยต่างกันตรงไหน
(๓) ถามแฟนว่าจะเลือกใครก็รีบทำ
ไม่รักฉัน อย่าทำให้ฉันเสียเวลา

๗. โดนเพื่อนร่วมงานแย่งซีนทำอย่างไร?
เขาแย่งจากเราได้เพียงแค่ซีนและภาพลักษณ์เท่านั้น
แต่เขาไม่สามารถแย่งความรู้และความสามารถไปจากเราได้
 
๘. งานเยอะมากทำอย่างไรดี?
(๑) รู้ ว่างานเยอะต้องรีบทำ
(๒) อย่าดองงานข้ามปีข้ามชาติ
(๓) เรียงลำดับความสำคัญของงาน
สำคัญก่อนให้รีบทำ สำคัญน้อยค่อยทยอยทำ
 
๙. ทำงานดี มีแต่คนริษยา จะรับมืออย่างไร?
โบราณว่า ไม้ใหญ่ย่อมเจอขวานคม
คนเด่นต้องมีคนด่า คนมีปัญญาจึงมีคนลองดี
คนทำงานดีจึงมีคนริษยา ปรากฏการณ์เช่นว่านี้
เป็นของธรรมดา ทำงานดีจนมีคนริษยา
ยังดีกว่าทำงานไม่ดี จึงเป็นได้อย่างดีแค่คนที่คอยริษยา
 
๑๐. ทำงานแทบตาย เงินไม่พอใช้ ทำอย่างไรดี?
(๑) หางานใหม่
(๒) ลดความต้องการให้น้อยลง อยู่กับความจริงให้มาก
(๓) บริโภคปัจจัยสี่โดยมุ่งประโยชน์ อย่ามุ่งประดับ
(๔) ทำบัญชีรายรับรายจ่าย รับมากกว่าจ่ายจึงนับว่ายอด
จ่ายมากกว่ารับนับว่าแย่
๑๑. ถูกนายด่า อารมณ์เสีย?
คนที่ด่าคนอื่นสะท้อนว่าระบบข้างใจกำลังพัง
คนอารมณ์เสียเพราะถูกด่า
แสดงว่าระบบของตัวเองก็พังตามไปด้วย
 
๑๒. ไถ่ชีวิตโคได้บุญมากไหม?
ถ้าไถ่แล้วโคอยู่รอด คุณได้บุญ
แต่หากไถ่เพื่อทำให้วัดอยู่รอด คุณได้บาป
แทนที่จะไถ่โคกระบือ
คุณควรไถ่ตัวเองให้พ้นจากความโลภ โกรธ หลง ดีกว่า
 
๑๓. แฟนติดหนังเกาหลี ดูทั้งคืนไม่ยอมนอน?
ขอให้คิดว่าอย่างน้อยเธอยังนั่งดูอยู่ในบ้าน
ถึงเธอจะติดหนังเกาหลี ก็ยังดีกว่าติดผู้ชายขี้หลีที่อยู่นอกบ้าน
 
๑๔. ลูกค้าจู้จี้ทำอย่างไรดี?

1)จู้จี้ยังดีกว่าวันทั้งวันไม่มีใครแวะเวียน
ผ่านมาเยี่ยมเยียนถึงในร้าน
2)ลูกค้าจู้จี้ได้ แต่คุณต้องทำให้เขาประทับใจเอาไว้เสมอ
มีลูกค้า

๑๕. ไปงานวันเกิดควรได้อะไร?
(๑) ได้ถามตัวเองว่า เราเกิดมาเพื่ออะไร
(๒) ได้ถามตัวเอ??ว่า เราเกิดมาจากใคร
๓) ได้ถามตัวเองว่า เรากตัญญูต่อผู้ให้กำเนิดแล้วหรือยัง

๑๖. สวดมนต์บทไหนดี?
(๑) สวดพุทธคุณเพื่อเตือนว่า จงเป็นผู้ตื่น
(๒) สวดธรรมคุณเพื่อเตือนว่า
จงเว้นสิ่งที่ควรเว้น จงทำสิ่งที่ควรทำ
(๓) สวดสังฆคุณเพื่อเตือนว่า พระอรหันต์ที่แท้
คือพ่อกับแม่ที่อยู่ในบ้านของเรานั่นเอง
๑๗. สามีไม่สนใจธรรมะเลยทำอย่างไรดี?
(๑) เราควรมีธรรมะให้เขาดู
(๒) เราควรอยู่ให้เขาเห็น
(๓) เราควรสงบเย็นให้เขาได้สัมผัส
เนื่องเพราะ หนึ่งการกระทำสำคัญกว่าพันคำพูด
 
๑๘. โดนขับรถปาดหน้า โมโ หมาก?
(๑) บอกตัวเองว่าโกรธคือโง่ โมโหคือบ้า ด่าคือมาร ระรานคือบาป
(๒) เปลี่ยนการด่าเป็นการแผ่เมตตาให้เขาถึงที่หมายโดยปลอดภัย
(๓) เตือนตนไว้ว่า อย่าขับรถปาดหน้าใคร เพราะอาจมีอันตรายรอบด้าน
 
๑๙. อยู่ในกลุ่มเพื่อนชอบนินทาจะตีจากดีไหม?
ท่านพุทธทาสกล่าวว่า คนชอบนินทาคือคนที่ชอบกินของเน่า
ถ้าเราร่วมผสมโรงไปกับเขา แสดงว่าเราเองก็ชอบกินของเน่าไม่เบาเหมือนกัน
 
๒๐. ทำไมมักเจอสิ่งที่ไม่ชอบใจอยู่เสมอ?
ผู้รู้บอกว่า ศิลปินอย่าดูหมิ่นศิลปะ กองขยะดูดีๆ ยังมีศิลป์
ดังนั้น ในสิ่งที่คุณไม่ชอบ ย่อมมีแง่มุมที่คุณชอบอย่างแน่นอน
มองอย่างพินิจจะพบว่า ในดีมีเสีย ในเสียมีดี
ไม่อยากให้ข้อความดีๆแบบนี้อยู่แค่ในกล่องเมลล์ แล้ววันนึงเราก็จะลืมมันไปหวังว่ามันจะมีประโยชน์ต่อคนที่เข้ามาอ่านบ้างนะ